แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งศาลต้องจดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น เป็นพยานเอกสารอย่างหนึ่งซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่า จำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์จึงชอบที่จะอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ส่วนที่จะรับฟังหรือไม่เพียงใดเป็นดุลพินิจของศาลที่พิจารณาจะวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง
ฉะนั้น เมื่อศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาโดยวินิจฉัยถึงคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องประกอบกับคำพยานอื่นที่ได้มาเบิกความในชั้นพิจารณาจึงไม่เป็นการผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันยักยอกลายพิมพ์นิ้วมือแจ้งความเท็จ เป็นเจ้าพนักงานจดข้อความเท็จขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 63, 315, 226 และ 230
จำเลยทั้ง 5 คน ต่างให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่านายอินโจทก์ได้พิมพ์ลายนิ้วมือมอบให้จำเลยที่ 1 ไปเพื่อใช้ในการไถ่ถอนโฉนดที่วางเป็นประกันเงินกู้ไว้กับนางวันดีคืนมา จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กลับสมคบกันนำไปทำเป็นใบมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยทุจริตจริง ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 นั้นยังฟังไม่ถนัดว่าได้กระทำผิดดังฟ้อง จึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 63, 315, 226 ให้ลงโทษตามมาตรา 226 ซึ่งเป็นกระทงหนัก โดยจำคุกจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการสำคัญ 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2, 3 คนละ 1 ปีส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 5 นั้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 ที่ 5
จำเลยทั้งสามที่ต้องโทษ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยนั้น คำเบิกความของพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งศาลต้องจดไว้ตามมาตรา 237 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น เป็นพยานเอกสารอย่างหนึ่งซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ จึงชอบที่จะอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ตามมาตรา 226 แห่งวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนที่จะรับฟังหรือไม่เพียงใด เป็นดุลพินิจของศาลที่พิจารณาคดีจะวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง ตามมาตรา 227 แห่งประมวลกฎหมายนั้น สำหรับคดีนี้ศาลทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาโดยวินิจฉัยถึงคำเบิกความของนายอินโจทก์ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องประกอบกับคำพยานอื่นที่ได้มาเบิกความในชั้นพิจารณาจึงไม่เป็นการผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด หาใช่เป็นเรื่องที่ศาลรับเอาแต่คำเบิกความของพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องให้พยานมาเบิกความในชั้นพิจารณา ดังที่จำเลยกล่าวในฎีกาไม่ ส่วนที่นายอินโจทก์ เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง มิได้กล่าวถึงวันเวลาเกิดเหตุไว้นั้น ก็ไม่เห็นจะถือได้อย่างไรว่า ทำให้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับที่ระบุในฟ้อง อันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องของโจทก์เสียได้ตามฎีกาของจำเลย ฉะนั้น ที่ศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงลงโทษจำเลยมา จึงไม่มีอะไรที่จะอ้างได้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน