คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อตามพฤติการณ์ได้ความว่าจำเลยแทงผู้ตายขณะวิกลจริตแต่ยังมีสติพอจะรู้สึกผิดชอบหรือยับยั้งได้จำเลยย่อมได้รับการลดหย่อนอาญาให้เบาลงได้ความ ม. 47
การที่จะนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาอีกคดีหนึ่งหรือไม่นั้นให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจได้ตาม ม. 32 เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษจำเลยต่อให้ ย่อมไม่มีเหตุผลที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงในข้อดุลยพินิจ
เมื่อคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล หากมีเหตุควรเชื่อว่าจำเลยเป็นคนวิกลจริต ศาลย่อมสั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจแล้วมาให้การได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยใช้มีดแทงนางวรรณาตายโดยเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษและนับโทษจำเลยต่อจากคดีดำที่ ๕๐๑/๒๔๙๖ จำเลยให้การรับสารภาพได้ทำไปเพราะถูกยั่วโทษะและเป็นจำเลยคนเดียวกับคดีดำที่ ๕๐๑/๒๔๙๖
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจะฟังว่าจำเลยวิกลจริตดังแถลงไม่ได้ จำเลยมีผิดตาม ม. ๒๔๙,๕๙ จำคุก ๗ ปี ๖ เดือน แต่ไม่เห็นสมควรนับโทษต่อให้เพราะคดีนั้นจำเลยถูกจำคุก ๒ เดือน แต่ต้องขังมาพอกับโทษให้ปล่อยไป
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุดวนเชื่อว่าจำเลยจะวิกลจริตจึงสั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจตาม ป.วิ.อาญา ม.๑๔ แล้วให้เรียกแพทย์มาให้การ ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกระทำในขณะวิกลจริตแต่ยังมีสติพอจะรู้สึกผิดชอบหรือยับยั้งได้ตาม ม.๔๗ ก.ม.อาญาจึงพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตาม ม. ๒๔๙ ประกอบด้วย ม.๔๗,๕๙ คงจำคุก ๒ ปี และให้ยกอุทธรณ์โจทก์ข้อขอนับโทษต่อกัน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์ที่ได้ความมาส่อแสดงให้น่าเชื่อว่าการกระทำของจำเลยกระทำไปในขณะวิกลจริต แต่ยังมีสติพอจะรู้สึกผิดชอบหรือยับยั้งได้ตาม ม. ๔๗
ส่วนข้อฎีกาของโจทก์เรื่องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาเลขดำที่ ๕๐๑/๒๔๙๖ ด้วยนั้น ตาม ก.ม.อาญา ม.๓๒ ให้อำนาจศาลใ่ช้ดุลยพินิจไม่นับโทษจำเลยต่อให้ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดจะเปลี่ยนแปลงในข้อดุลยพินิจนั้น จึงพิพากษายืน

Share