แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 5 กันยายน 2483 และ 20 ธันวาคม 2483 ( ออกตามความในมาตรา 30 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2480 และมาตรา 5 พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2481 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2483
ประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 5 กันยายน 2483 และ 20 ธันวาคม 2483 นั้น หาได้รับรองให้คนต่างด้าวผู้อพยพเข้ามาตามประกาศได้มีสัญชาติเป็นไทยไม่ เมื่อคนต่างด้าวผู้อพยพเข้ามานั้นถูกส่งตัวออกไปนอกราชอาณาจักรแล้วกลับหลบเข้ามาอีกก็ย่อมมีความผิดตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2493 ม.21,58,
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่า จำเลยเป็นคนต่างด้าวเชื้อชาติและสัญชาติเขมร และเป็นคนที่ทางการประเทศไทยไม่พึงประสงค์จะให้อยู่ในประเทศ ได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร์ไทย ๒ ครั้งแล้ว จำเลยได้บังอาจเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยมิได้รับอนุญาตและมิได้ผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การว่าเป็นคนสัญชาติไทย เกิดที่จังหวัดพระตะบอง แม่เป็นไทย บิดาเป็นเขมร
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยเป็นคนเชื้อชาติเขมร สัญชาตืเขมร ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ตามคำชักชวนของประเทศไทย เมื่อกุมภาพันธ์ ๒๔๘๓ จำเลยจึงได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติอย่างคนต่างด้าว และรัฐบาลถือว่าเป็นคนเชื้อชาติไทย สัญชาติฝรั่งเศล โดยเหตุนี้จำเลยจึงเป็นคนไทย ไม่ใช่ต่างด้าวตั้งแต่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้วมีสิทธิอยู่ในประเทศไทยอย่างคนไทยทุกประการ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับว่าจำเลยเป็นคนต่างด้าวจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.๒๔๙๒ ม.๒๑,๕๘, จำคุก ๖๐ วัน เพิ่มโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๗๒ อีก ๑ ใน ๓ รวมจำคุก ๘๐ วัน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยมีเชื้อชาติเขมร เกิดที่จังหวัดพระตะบอง บิดาเป็นเขมร ดังนั้นจำเลยจึงเป็นคนต่างด้าว แม้จำเลยจะอพยพเข้ามาในประเทศไทยตามประกาศชักชวนของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๘๓ และ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๘๓ ก็ตาม ก็ยังคงเป็นคนต่างด้าวอยู่ เพราะประกาศทั้ง ๒ ฉบับเป็นเรื่องผ่อนผันให้ไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองบางมาตราเท่านั้น หาได้รับรองให้มีสัญชาติไทยไม่ อนึ่งประกาศนั้นย่อนผันฉะเพาะคนเชื้อชาติไทยเท่านั้น จำเลยเป็นคนเชื้อชาติเขมรมิใช่คนที่ได้รับยกเว้น จำเลยเป็นคนต่างด้าวหลบเข้ามาในราชอาณาจักร จึงต้องผิดตาม พ.ร.บ.เข้าเมือง พ.ศ.๒๔๙๓ ม.๒๑,๕๘, พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์