แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง เมื่อศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างพยานเอกสาร เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นไม่ได้อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์เท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่หมู่ที่ 9ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 30 ไร่ซื้อมาจากนายบุญช่วยหรือช่วย ลือชา เมื่อปี 2528 โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจนถึงปัจจุบันได้แจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่ไว้ต่อมาประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2530 จำเลยได้ใช้ให้บริวารนำรถไถเข้าไปไถที่ดินแปลงที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นเนื้อที่จำนวน12 ไร่ หลังจากนั้นจำเลยได้ให้บริวารเข้าทำประโยชน์ปลูกข้าวโพดในที่ดินดังกล่าวโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์อันเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ การกระทำของจำเลยและพวกดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่อาจเข้าทำประโยชน์ได้คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 14,400 บาทขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีก และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน14,400 บาท แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 640 บาท และค่าเสียหายถัดจากวันฟ้องไปจนถึงวันที่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทอีกวันละ 40 บาท คำขออื่น ๆ นอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรคสอง เมื่อศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังพยานเอกสารดังกล่าวของจำเลยจึงไม่ชอบฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่12 ไร่หรือไม่… เห็นว่า คำเบิกความของตัวโจทก์กับนายช่วงที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายบุญช่วย ลือชา เมื่อต้นปี 2528และออกไปสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ในวันซื้อขายขัดกับสำเนาแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งระบุไว้ชัดแจ้งว่านายบุญช่วย ลือชา เป็นเจ้าของที่ดินยื่นคำขอเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2529 ถึง 2532 โดยยื่นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2529และใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.2 ก็ลงวันที่25 กันยายน 2529 ดังนั้นเมื่อในวันที่ 24 กันยายน 2529 นายบุญช่วยยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ สำหรับนายบุญช่วยข้อเท็จจริงจากโจทก์เองได้ความว่าเป็นพี่ภริยาโจทก์ดังนั้น โจทก์สามารถที่จะนำนายบุญช่วยผู้ขายมาสืบสนับสนุนได้ไม่ยากปรากฏว่าโจทก์มิได้นำมาสืบสนับสนุนอันเป็นข้อพิรุธและน่าสงสัยมากขึ้นอีก จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายบุญช่วยดังนั้น โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอันเนื่องมาจากการซื้อที่ดินพิพาทจากนายบุญช่วยดังข้ออ้างตามฟ้องโจทก์แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทเพราะเมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นไม่ได้อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์เท่านั้น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยเป็นผู้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ สรุปแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.