คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเช่าอยู่อาศัย ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยได้เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยมีทะเบียนสำมะโนครัว จำเลยได้ทำการค้าขายอยู่ในห้องพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2489 ได้เสียภาษีร้านค้าและภาษีป้าย ก่อนนั้นจำเลยไม่ได้เสียภาษีร้านค้าและไม่มีป้าย จำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งอื่นอีก นอกจากห้องพิพาท ของในร้านของจำเลยมีผ้า เครื่องสำอางค์และของเบ็ดเตล็ดต่างๆ ราคารวมทั้งสิ้นประมาณสองหมื่นบาท
คู่ความต่างไม่สืบพยาน ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยอ้างความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯอันเป็นกฎหมายพิเศษ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบว่า ตนมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัตินั้น เพราะข้อเท็จจริงที่รับกันดังกล่าว ยังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองจึงต้องพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าจำเลยต่อสู้ว่า เช่าอยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ

คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยได้เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยมีทะเบียนสำมะโนครัวจำเลยได้ทำการค้าขายอยู่ในห้องพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2489 ได้เสียภาษีร้านค้าและภาษีป้าย ก่อนนั้นจำเลยไม่ได้เสียภาษีร้านค้า และไม่มีป้าย จำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งอื่นอีก นอกจากห้องพิพาท ของในร้านของจำเลยมีผ้า เครื่องสำอางค์ และของเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มีราคารวมทั้งสิ้นประมาณสองหมื่น

เมื่อคู่ความแถลงรับกันแล้ว ต่างแถลงสืบพยานต่อไป

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษจำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบว่าตนมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินั้น ข้อเท็จจริงที่รับกันคงฟังได้ว่าจำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งอื่นอีก แต่ยังไม่พอที่จะฟังว่า โจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัยและตามพฤติการณ์ที่จำเลยแถลงรับว่า จำเลยได้เสียภาษีร้านค้า ภาษีป้ายทำการค้าขายในห้องพิพาท มีผ้า เครื่องสำอางค์ และของเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มีราคาประมาณสองหมื่นบาทนั้น เป็นการแสดงอยู่ว่า จำเลยได้ใช้ห้องพิพาทประกอบการค้า จึงพิพากษายืน

Share