แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ขอถอน คำร้องที่มีข้อความเป็นการละเมิดอำนาจศาลหาทำให้ข้อความตาม คำร้องที่เป็นการละเมิดอำนาจศาลหมดไปไม่ การจะถือ ว่าเป็นความผิดฐาน ละเมิดอำนาจศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 31(1) ไม่จำต้องเป็นกรณีที่ศาลเดือน แล้ว แต่ยังคงกระทำต่อไปอีก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านซึ่งโจทก์ครอบครองเพื่อยึดถือแย่งการครอบครองจากโจทก์และทำลายทรัพย์สินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องมีใจความว่าผู้รับผิดชอบสำนวนไม่ยอมบันทึกข้อความตามที่โจทก์เบิกความ แต่กลับบันทึกโดยนำไปตกแต่งเพิ่มเติมจนน่าจะเป็นการเบิกความเสียเองของศาลที่พยายามปั้นข้อเท็จจริงขึ้นใหม่และปกปิดความผิดของจำเลยตามฟ้องของโจทก์ ไม่ยอมบันทึกข้อความที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งคอยแต่จะขอเลื่อนคดีให้จำเลย จ้องแต่รักษาประโยชน์แก่จำเลยอย่างออกหน้าออกตาจนเป็นที่น่าเกลียด โจทก์มาฟ้องต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลสถิตยุติธรรม ผู้ทำหน้าที่จึงต้องรักษากิริยาอันดีทำตัวเป็นกลาง ไม่กลั่นแกล้งฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และรักษาวินัยข้าราชการตุลาการ กฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะต้องรักษาความยุติธรรมถึงแม้จะรับราชการมานานมีชั้นเชิงแพรวพราวแต่จะใช้ชั้นเชิงนั้นเพื่อมิให้เกิดความยุติธรรมโดยพยายามเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ขอคัดค้านผู้รับผิดชอบสำนวนตามมาตรา 11 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อความตามคำร้องเป็นข้อความฟุ่มเฟือยเสียดสีศาล ถือได้ว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31(1)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลงโทษจำคุกโจทก์มีกำหนด6 เดือน และปรับ 500 บาท โทษจำคุกรอไว้มีกำหนด 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องของโจทก์ที่ก่อให้เกิดปัญหานี้ไม่ได้ผ่านการตรวจจากทนายความของโจทก์ เป็นเรื่องผิดพลาดหรือผิดหลงจึงไม่เป็นความผิดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) นั้น เห็นว่าโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์คำร้องเอง ย่อมตระหนักในข้อความตามคำร้องเป็นอย่างดี จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดตามเนื้อความในคำร้อง การที่ทนายความของโจทก์ไม่ได้ตรวจคำร้องเสียก่อนที่โจทก์จะนำมายื่นต่อศาลชั้นต้น ไม่เป็นเหตุที่ยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้และไม่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องผิดพลาดและผิดหลงแต่อย่างใด สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่าโจทก์เพิกถอนคำร้องอันเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาแล้วในทันที กรณีจึงเป็นยุติเพราะศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว เห็นว่าคำร้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ร้องขอต่อผู้บังคับบัญชาของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนให้เปลี่ยนผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีของโจทก์ การที่โจทก์ขอถอนคำร้องดังกล่าว ก็เป็นแต่เพียงโจทก์ไม่ติดใจที่จะให้ผู้บังคับบัญชาของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งให้ผู้พิพากษาคนอื่นทำการนั่งพิจารณาคดีของโจทก์แทนเท่านั้นหาทำให้ข้อความตามคำร้องที่เป็นการละเมิดอำนาจศาลหมดไปโดยการถอนคำร้องไม่ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ต้องเป็นกรณีที่ศาลเตือนแล้ว แต่ยังคงดื้อรั้นประพฤติต่อไปอีก ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 235/2514 ระหว่างนายอุดม เจริญพัฒน์ โจทก์ร้อยตำรวจเอกผล พิทักษ์ถิ่น จำเลย นั้น เห็นว่าคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวมิได้วินิจฉัยว่าความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ต้องเป็นกรณีที่ศาลเตือนแล้ว จึงจะถือว่ามีเจตนาละเมิดอำนาจศาลดังที่โจทก์อ้าง ความผิดตามกฎหมายมาตราดังกล่าวไม่ได้บัญญัติไว้กับทั้งไม่อาจตีความได้ว่า ที่จะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อศาลเตือนแล้วแต่ยังคงกระทำต่อไปอีก ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.