แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 และพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนตามมาตรา 371แต่ให้ลงโทษกระทงหนักตามมาตรา 357 และจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานรับของโจร นั้น ความผิดของจำเลยฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมนุมชนตามมาตรา 371 ที่ยุติแล้ว ก็ยังคงมีอยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลสูง(ศาลอุทธรณ์) พิพากษายกฟ้องฐานรับของโจรอันเป็นกระทงหนัก ศาลสูง (ศาลอุทธรณ์) ก็มีอำนาจกำหนดโทษในความผิดกระทงเบาฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนที่ยังมีอยู่นั้นได้ ไม่เป็นการนอกเหนือกฎหมาย ตามนัยฎีกาที่ 1196/2502 และเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษ ศาลฎีกาก็กำหนดโทษไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์กำหนดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักโค 1 ตัวของนายรวงไปจากคอกทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกร่วมกันลักหรือรับโครายนี้จากคนร้าย โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และจำเลยได้บังอาจพาอาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม เข้าไปในบริเวณงานวัดบ้านหนองสรวงอันเป็นการพกอาวุธไปในชุมนุมที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการรื่นเริงโดยไม่มีเหตุสมควร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 335, 83, 371 และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยลักโค ส่วนข้อหาฐานรับของโจรพยานโจทก์ฟังได้ ข้อจำเลยพกอาวุธฟังว่าจำเลยพกพาอาวุธไปในที่ชุมชน พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 371 ให้ลงโทษตามมาตรา 357 ซึ่งเป็นกระทงหนัก จำคุก 1 ปี 6 เดือน ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะฐานรับของโจรว่าจำเลยไม่ได้รับของโจร
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจร และเมื่อจำเลยไม่มีความผิดฐานรับของโจรอันเป็นกระทงหนักที่ศาลชั้นต้นลงโทษมาแล้ว ความผิดกระทงเบาฐานพกอาวุธมีดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจลงโทษเพราะศาลชั้นต้นไม่ได้เรียงกระทงลงโทษ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในเหตุที่ไม่ได้เรียงกระทงความผิดฐานพกอาวุธจึงถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเลย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานรับของโจรนอกจากนี้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้ง ในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ว่า ควรลงโทษตามมาตรานี้ได้ เพราะจำเลยยังคงมีความผิดตามมาตรา 371 อยู่ ควรจะพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานรับของโจรให้ปรับจำเลย 50 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรและฐานพกอาวุธตามฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อนี้ชอบแล้ว
ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371นั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 และมีความผิดฐานพกอาวุธไปในที่ชุมชน ที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการรื่นเริง โดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็น 2 กระทง แต่ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 357 ซึ่งเป็นกระทงหนักกระทงเดียว จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานรับของโจร ข้อหาฐานพกอาวุธ ฯลฯ มิได้อุทธรณ์ และฝ่ายโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ ดังนั้นข้อหาฐานพกอาวุธ ฯลฯ จึงยุติ เพียงศาลชั้นต้น ปัญหามีว่า เมื่อศาลสูงวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานรับของโจร ยกฟ้องของโจทก์ในข้อนี้อันเป็นกระทงหนักตามที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาเสียแล้ว ศาลสูงจะกำหนดโทษจำเลยสำหรับกระทงที่เบาและยุติแล้วได้เพียงไรหรือไม่ เห็นว่า ความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ตามที่ยุติแล้วนั้นยังคงมีอยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลสูงพิพากษายกฟ้องในความผิดอันเป็นกระทงหนักเสียแล้ว ศาลสูงมีอำนาจกำหนดโทษในความผิดที่เป็นกระทงเบาที่ยังมีอยู่นั้นได้ ไม่เป็นการนอกเหนือกฎหมายแต่ประการใด ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1196/2502 และเห็นควรกำหนดโทษจำเลยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ปรับจำเลย 50 บาทนอกนั้นยืน