แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อำเภอชี้ขาดให้จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ จำเลยลงชื่อยินยอมปฏิบัติตามสัญญายอมความของอำเภอ ต่อมาอีก 5 วันจำเลยจึงโอนขายที่ดินของจำเลยให้ผู้ร้อง สัญญาระบุว่าซื้อขาย แต่ความจริงไม่มีค่าตอบแทน ดังนี้
เมื่อจำเลยไม่ชำระค่านายหน้าให้โจทก์ๆ ฟ้องคดี จนศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมนำยึดที่ดินของจำเลยดังกล่าวเพื่อการบังคับคดีได้ เพราะการโอนให้ผู้ร้องดังกล่าว เป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
ย่อยาว
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเพื่อการบังคับคดีเอาแก่จำเลยผู้แพ้คดีนั้นเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องได้รับโอนมาจากจำเลยโดยสุจริต ขอให้เพิกถอนการยึด
โจทก์ให้การแก้ว่า เป็นของจำเลย จำเลยสมยอมโอนให้ผู้ร้องเพื่อฉ้อฉลโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการยึด แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว คดีได้ความว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องค่านายหน้าซื้อที่ดิน ทางอำเภอชี้ขาดให้โจทก์ชนะ ให้จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ จำเลยลงชื่อยอมปฏิบัติตามสัญญายอมความต่อมาอีก 5 วัน จำเลยจึงโอนขายที่ดินของจำเลยให้ผู้ร้อง ในสัญญาระบุว่าซื้อขาย แต่ความจริงไม่มีค่าตอบแทน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการโอนที่ดินให้ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งอยู่ร่วมกันกับจำเลยโดยไม่มีค่าตอบแทนไป ภายหลังจำเลยแพ้ความโจทก์ที่อำเภอเพียง 5 วัน โดยทำให้โจทก์เสียเปรียบอย่างนี้ โจทก์ย่อมขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
จึงพิพากษายืน