แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้. ผู้ให้กู้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ผู้กู้ชำระหนี้เมื่อใดก็ได้. และการที่ผู้กู้นำพยานบุคคลมาสืบว่า การกู้รายนี้มีข้อตกลงกำหนดเวลาชำระหนี้คืน 3 เดือน ตามเช็คล่วงหน้าที่ผู้กู้ได้ออกให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้นั้น. เป็นการนำสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญากู้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94.
เอกสารหมาย ล.6 ที่โจทก์ผู้ให้กู้มีถึงจำเลยแจ้งกำหนดเวลาชำระหนี้ให้จำเลยทราบถือได้แต่เพียงเป็นหลักฐานที่โจทก์เรียกให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนดไว้เท่านั้น. จะถือเป็นหลักฐานว่าโจทก์จำเลยตกลงกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนแล้วหาได้ไม่.
เมื่อหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้. การค้ำประกันก็มิใช่การค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700. แม้ผู้ให้กู้จะผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันก็หาหลุดพ้นความรับผิดไม่.
โจทก์มิได้ฟ้องเรียกร้องเอาดอกเบี้ย. แต่เมื่อฟังได้ว่าการกู้มีดอกเบี้ย ผู้กู้จึงต้องชำระดอกเบี้ยอยู่.และก่อนฟ้องโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยด้วยสิ่งของเป็นเงิน 8,725 บาท. โจทก์จึงฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเฉพาะต้นเงินกู้. ดังนี้ การที่ศาลจัดใช้เงิน 8,725 บาทที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ก่อนฟ้องเป็นใช้ดอกเบี้ยเสียก่อน. ส่วนเหลือใช้เป็นการชำระต้นเงินกู้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329. แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระต้นเงินกู้ที่ยังค้างให้โจทก์น้อยกว่าที่โจทก์ขอนั้น. ดังนี้หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่.
สัญญากู้มีข้อความว่า จำเลยยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์.แต่อัตราดอกเบี้ยมิได้กำหนดลงไว้จึงต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 30,000 บาท ไม่ได้กำหนดวันชำระจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาให้ทนายโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระคืนภายในวันที่ 31 มกราคม 2508 จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระ หากไม่ชำระก็ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิด จำเลยทั้งสองให้การว่า ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละสิบสลึงต่อเดือนมีกำหนดชำระคืน 7 เดือน โดยจำเลยที่ 1 ออกเช็คล่วงหน้า 3 เดือนเป็นเงิน 30,000 บาท ให้โจทก์ยึดถือไว้โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งหนังสือกู้ไม่ได้ลงวันที่และไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ โจทก์ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ไม่ยินยอมด้วยจำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้น โจทก์ยอมรับเอาสิ่งของแทนเงินคิดเป็นเงิน 8,725 บาท ระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์รับว่าได้รับสินค้าจากจำเลยที่ 1 รวม8,725 บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการชำระดอกเบี้ยเสีย 4,500 บาท ชำระต้นเงิน 4,225 บาท พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 25,775 บาทหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยที่ 2 ผู้เดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า การกู้รายนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เสียเมื่อใดก็ได้ ที่จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่า การกู้รายนี้มีข้อตกลงกำหนดเวลาชำระหนี้คืน 3เดือน ตามเช็คล่วงหน้าที่จำเลยที่ 1 ได้ออกให้โจทก์ยึดถือไว้นั้นเป็นการนำสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญากู้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เอกสารหมาย ล.6 ที่โจทก์มีถึงจำเลยทั้งสองแจ้งกำหนดเวลาชำระหนี้ให้จำเลยทราบ ก็ถือได้แต่เพียงเป็นหลักฐานที่โจทก์เรียกให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนดไว้เท่านั้น จะถือเป็นหลักฐานว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนแล้วหาได้ไม่ เมื่อหนี้รายนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้การค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ก็มิใช่การค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณเวลามีกำหนดแน่นอน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 700แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้น แม้โจทก์จะผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันก็หาหลุดพ้นความรับผิดไม่ คดีนี้ แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องเรียกร้องเอาดอกเบี้ยก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกู้รายนี้มีดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระดอกเบี้ยสำหรับปี พ.ศ. 2507 อยู่ และก่อนฟ้องโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยด้วยสิ่งของเป็นเงิน 8,725 บาทไปบ้างแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเฉพาะต้นเงินกู้ ดังนี้ การที่ศาลล่างทั้งสองจัดใช้เงิน 8,725 บาทที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ก่อนฟ้องเป็นใช้ดอกเบี้ยเสียก่อน ส่วนที่เหลือใช้เป็นการชำระหนี้ต้นเงินกู้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ต้นเงินกู้ที่ยังค้างชำระให้โจทก์น้อยกว่าที่โจทก์ขอนั้นหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องดังฎีกาจำเลยไม่ เนื่องจากหนังสือสัญญากู้รายนี้มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 ยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่อัตราดอกเบี้ยมิได้กำหนดลงไว้ในหนังสือสัญญากู้ว่าจำเลยจะเสียให้โจทก์เท่าใด จึงต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ฉะนั้น ในการจัดใช้เงิน 8,725 บาทที่จำเลยชำระให้โจทก์ในส่วนที่จะคำนวณเป็นการใช้ดอกเบี้ยจึงต้องใช้อัตรานี้เป็นหลัก หาใช่อัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือนหรือร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งมิได้กำหนดไว้ในสัญญา และคิดแล้วเป็นเงินดอกเบี้ย 4,500 บาท ดังคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ดอกเบี้ยที่จัดใช้ซึ่งคิดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเป็นเงิน 2,250 บาท เงินที่โจทก์รับชำระยังเหลืออีก 6,475 บาทจัดใช้เป็นการชำระต้นเงินกู้ จำเลยที่ 1 จึงต้องใช้ต้นเงินกู้ในส่วนที่ยังค้างชำระให้โจทก์อีก 23,525 บาท หนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา จำเลยที่ 2 ผู้เดียวฎีกาจำเลยที่ 1 ก็ย่อมได้รับผลเป็นคุณด้วย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน23,525 บาท ให้โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ใช้แทนจนครบ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.