คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11233/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นแจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยทราบ จำเลยมิได้โต้แย้ง ดังนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีอำนาจที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าวมาประกอบดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ ข้อเท็จจริงจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติจึงหาได้เป็นพยานหลักฐานที่ปรากฏนอกสำนวน และไม่ใช่พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่น ๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลยเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดีนี้ที่ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 264, 265, 266, 268, 341 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 988,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 266 (4), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 226 (4) (ที่ถูก มาตรา 266 (4), 268 วรรคแรก ประกอบ 266 (4)) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและตั๋วเงินเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมตั๋วเงินซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และความผิดฐานปลอมตั๋วเงินและฐานใช้ตั๋วเงินแต่ละฉบับ จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอมเอง จึงให้ลงโทษจำเลยฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (4) แต่เพียงกระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 45 กระทง เป็นจำคุก 270 เดือน และปรับ 450,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ให้คุมประพฤติจำเลยมีกำหนด 2 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ให้จำเลยเข้าร่วมกิจกรรมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดอย่างน้อย 1 ครั้ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ในกรณีกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังเป็นเวลา 1 ปี ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนเงินจำนวน 988,000 บาท แก่ผู้เสียหายนั้นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษ ไม่ลงโทษปรับ และไม่คุมประพฤติจำเลย แต่ทั้งนี้ให้จำคุกจำเลย 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลงโทษจำเลยให้จำคุกกระทงละ 1 ปี ก่อนลดโทษให้ เป็นอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำสุดที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ประกอบมาตรา 266 (4) แล้ว และจำเลยกระทำการตามฟ้องอันเป็นความผิดดังกล่าวหลายกรรมต่างกัน ซึ่งต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดรวม 45 กระทง รวมโทษจำคุกของจำเลยหลังจากลดโทษแล้วมีกำหนด 270 เดือน ซึ่งเกินกว่า 20 ปี แต่ความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดกระทงหนักที่สุดมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี ซึ่งมีระวางโทษอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลงโทษจำเลยรวมทุกกระทงให้จำคุก 20 ปี จึงเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ กรณีไม่อาจกำหนดโทษจำเลยให้เบาลงอีกได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเฉพาะข้อเท็จจริงแง่ลบของจำเลยตามรายงานการสืบเสาะและพินิจ ไม่เป็นธรรมต่อจำเลยเพราะจำเลยไม่ได้อ่านรายงานการสืบเสาะฯ โดยละเอียดจึงไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/2 เพราะเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดอื่น ๆ หรือความประพฤติเสื่อมเสียของจำเลยเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีที่ถูกฟ้องนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติ พศ.2522 มาตรา 13 ซึ่งบัญญัติว่า “ศาลมีอำนาจที่จะรับฟังรายงานและความเห็นของพนักงานคุมประพฤติตามมาตรา 11 โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลประกอบ แต่ถ้าศาลจะใช้รายงานและความเห็นเช่นนี้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ให้ศาลแจ้งข้อความที่เป็นผลร้ายให้จำเลยทราบ เมื่อจำเลยคัดค้าน พนักงานคุมประพฤติมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบรายงานและความเห็นก่อน และจำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างได้” คดีนี้ศาลชั้นต้นแจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยทราบ จำเลยมิได้คัดค้านปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 27 เมษายน 2554 ดังนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีอำนาจที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าวมาประกอบดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ข้อเท็จจริงจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติจึงหาได้เป็นพยานหลักฐานที่ปรากฏนอกสำนวน และไม่ใช่พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำผิดครั้งอื่น ๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลยเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดีที่ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/2 ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยอาศัยโอกาสที่ผู้เสียหายมอบความไว้วางใจให้ทำหน้าที่การเงิน กระทำความผิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 2 ปีเศษ โดยการปลอมจำนวนเงินในเช็คที่ผู้เสียหายสั่งจ่ายให้สูงขึ้น เพื่อให้ได้ไปซึ่งเงินส่วนต่างที่ธนาคารจ่ายให้เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้เสียหายสั่งจ่ายจริง รวมเงินที่จำเลยได้ไปเป็นจำนวนมากถึง 988,000 บาท พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ประกอบกับจำเลยรู้อยู่แล้วว่าผู้เสียหายเป็นองค์การการกุศลที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กยากไร้ด้อยโอกาสและประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยากทั่วไป มิได้มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการแสวงหากำไรใด ๆ เงินที่ใช้ในกิจการของผู้เสียหายย่อมมาจากการบริจาคเพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการเพื่อสาธารณะกุศลของผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับกระทำความผิดต่อผู้เสียหายโดยนำเงินที่ใช้ในกิจการของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยมิได้คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ การที่จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยต้องรับผิดคืนให้แก่ผู้เสียหายครบถ้วนและผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดี การที่จำเลยมีภาระต้องดูแลคนในครอบครัวและมีปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ก็ดี ไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะสมควรรอการลงโทษให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share