คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คนร้าย 5 – 6 คน ใช้ปืนขู่คนขับรถไม่ให้สู้ เอาผ้ามัดมือไพล่หลังทั้งสองคน แล้วพาขึ้นไปนั่งที่กะบะท้ายรถ คนร้ายเอาปืนจี้คุมไว้และขับรถแล่นออกจากหมู่บ้าน ค. ไปถึงถนนเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตรแล้วขับไปตามถนนนั้นและทางอีกสายหนึ่งเป็นระยะทางประมาณ10 กิโลเมตรหรือประมาณ 20 นาที แล้วจึงหยุดรถและถอยรถเข้าไปในป่าข้างทาง ต่อจากนั้นก็พาคนขับรถลงเดินไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จึงยิงและเชือดคนขับรถคันหนึ่งถึงแก่ความตาย แล้วคนร้ายก็เอารถไป แม้การปล้นนี้จะได้เริ่มขึ้นที่หมู่บ้าน ค. แต่การที่คนร้ายพาคนขับรถทั้งสองไปนั่งที่กะบะท้ายรถทั้งๆ ที่ยังถูกมัด และคนร้ายใช้ปืนจี้คุมตัวให้นั่งไปในรถเช่นนั้น เป็นการขู่เข็ญว่าจะกระทำร้ายเพื่อความปลอดภัยของคนร้ายในการปล้นทรัพย์อยู่ตลอดเวลาที่คนขับรถนั่งไปกับคนร้าย จึงมีการกระทำในการปล้นทรัพย์อยู่เรื่อย เมื่อคนร้ายหยุดรถพาคนขับรถเดินเข้าป่าไปฆ่าในทันทีนั้นก็เพื่อจะปกปิดการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ การฆ่าจึงเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นทรัพย์จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกหลายคนร่วมกันมีปืนและมีดเป็นอาวุธทำการปล้นรถยนต์บรรทุกของบริษัท เอ็น วาย เค รวม ๒ คัน ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายจำนงค์ ศรีบำรุงและนายเกษม ชีวาตม์เจริญศิริตามลำดับ ไปโดยเจตนาทุจริต ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ และใช้เชือกมัดนายจำนงค์และนายเกษมไว้แล้วใช้ปืนยิงคนทั้งสองโดยมีเจตนาฆ่าเพื่อปกปิดการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์และโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แล้วจำเลยกับพวกยังได้ใช้มีดพกปลายแหลมเชือดที่บริเวณลำคอของคนทั้งสองด้วย อันเป็นการกระทำทารุณโหดร้ายนายเกษมถึงแก่ความตายในเวลานั้นเอง ส่วนนายจำนงค์นั้นถูกยิงและถูกเชือดคอไม่ถูกที่สำคัญ ไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยเหตุปล้นเกิดที่ตำบลลาดตะเคียน อำเภอกบินทร์บุรี และเหตุฆ่าผู้อื่นเกิดที่ตำบลลาดตะเคียน อำเภอกบินทร์บุรีกับตำบลท่าตูม อำเภอศรีมหาโพธิจังหวัดปราจีนบุรีเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๓๔๐, ๘๐, ๘๓ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ กรณีเข้าเหตุฉกรรจ์ตามวรรคท้ายแห่งบทกฎหมายดังกล่าวด้วยให้ประหารชีวิตจำเลย ส่วนข้อหาตามมาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐, ๘๓ ให้ยกฟ้องริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษ เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันพวกคนร้ายออกมาจากหมู่บ้านโคกกะท้อนมี ๕-๖ คน เมื่อพวกคนร้ายจับมือนายจำนงค์และนายเกษมมัดไหล่หลังแล้วได้พาไปนั่งในกะบะท้ายรถบรรทุกและเอาปืนจี้คุมอยู่ในรถ แล้วพวกคนร้ายขับรถแล่นออกจากหมู่บ้านโคกกะท้อนย้อนกลับมาตามทางเดิมจนถึงถนนมิตรภาพสาย ๒๓ ระยะทางประมาณ๕ กิโลเมตร แล้วขับรถไปตามถนนมิตรภาพสาย ๒๓ และทางสายคลองรั้งโคกขวางเป็นระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร หรือนานประมาณ ๒๐ นาที จึงได้หยุดรถและถอยรถเข้าไปในป่าข้างทาง แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแล้ว รูปคดีฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้
ส่วนข้อกฎหมายซึ่งจำเลยฎีกาว่า การปล้นทรัพย์และการฆ่านายจำนงค์กับนายเกษมต่างกรรมต่างวาระกัน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคท้ายนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ว่าการปล้นทรัพย์รายนี้จะได้เริ่มขึ้นที่หมู่บ้านโคกกะท้อน โดยพวกคนร้ายเอาปืนจี้ขู่บังคับนายจำนงค์และนายเกษมให้นั่ง และเอาผ้าขาวม้ามัดมือไพล่หลังไว้แล้วก็ตาม แต่การที่พวกคนร้ายพานายจำนงค์และนายเกษมขึ้นไปนั่งในกะบะท้ายรถทั้ง ๆ ที่ยังถูกมัดมือไพล่หลัง และคนร้ายใช้ปืนจี้คุมตัวให้นั่งอยู่ในรถเช่นนั้นไปในระหว่างทางที่พวกคนร้ายขับรถแล่นออกจากหมู่บ้านโคกกะท้อนไปจนถึงทางเกวียน ซึ่งแยกจากทางสายคลองรั้งโคกขวางเช่นนี้ เห็นได้ว่าการกระทำของพวกคนร้ายเช่นนั้นเป็นการขู่เข็ญว่าจะกระทำร้ายนายจำนงค์และนายเกษม เพื่อความปลอดภัยของพวกคนร้ายในการปล้นทรัพย์อยู่เรื่อย หาได้ขาดตอนลงแล้วไม่ และเมื่อพวกคนร้ายหยุดรถ ก็ได้เปิดกะบะท้ายรถพานายจำนงค์และนายเกษมเดินเข้าป่าละเมาะไปจัดการฆ่าในทันทีนั้น ก็เพื่อจะปกปิดการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ การฆ่าจึงเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นทรัพย์และเป็นเรื่องเดียวกันนั้นเอง ฟังได้ว่าการปล้นทรัพย์รายนี้เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคท้าย ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share