คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีปัญหาแต่เพียงว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ เมื่อผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องเป็นบริวารโดยไม่ไต่สวนพยานของผู้ร้องก่อนไม่ชอบ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้ ผู้ร้องก็มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไว้ด้วยว่า นอกนั้นให้รับเป็นอุทธรณ์ แต่เมื่ออุทธรณ์ของผู้ร้องไม่มีประเด็นขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์เสียแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษาให้ยกอุทธรณ์เสียได้

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกห้องแถว ๔ ห้องให้บริวารจำเลยอยู่อาศัย สัญญาเช่าสิ้นสุดแล้ว ขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารรื้อห้องแถวออกไป ผลที่สุดจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมยกห้องแถวทั้ง ๔ ห้องให้โจทก์ โจทก์ให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัยในห้องทั้ง ๔ ได้อีก ๑ เดือน ศาลพิพากษาตามยอม
ครบกำหนดตามยอมแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว แต่ผู้ร้องทั้ง ๔ คนซึ่งเป็นบริวารของจำเลยหาปฏิบัติตามไม่ ขอให้ศาลเรียกมาสอบถามและบังคับ
ศาลสอบถามผู้ร้อง ผู้ร้องทั้ง ๔ รับว่าอยู่อาศัยในห้องแถวรายนี้จริง ต่างอยู่มาคนละหลายปีแล้วโดยเช่าจากจำเลย โจทก์ก็รู้เห็น ผู้ร้องขออยู่ต่อไป ๑ ปี
โจทก์แถลงว่า ไม่รู้เห็นแต่อย่างใดในการที่จำเลยให้ผู้ร้องทั้ง ๔ เช่าช่วง โจทก์ยอมให้อยู่ได้อีกเพียง ๖ เดือน แล้วทั้ง ๒ ฝ่ายขอให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดไป ศาลเห็นว่าฝ่ายผู้ร้องอ้างว่าเช่าช่วงจากจำเลยโดยโจทก์รู้เห็น แต่โจทก์ปฏิเสธและทั้งสองฝ่ายต่างแถลงขอให้ศาลชี้ขาด เช่นนี้ ย่อมฟังได้ว่าโจทก์ไม่รู้เห็นด้วย การเช่าช่วงจึงไม่ชอบ ไม่ผูกพันโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิอยู่ในห้องพิพาท จึงมีคำสั่งให้ขับไล่ผู้ร้องออกไปภายใน ๖ เดือนนับแต่วันที่สั่ง
ผู้ร้องทั้ง ๔ อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยเพราะโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอมด้วยในการเช่าช่วง โดยไม่ไต่สวนเสียก่อนไม่ชอบ ถ้าเป็นจริงดังที่ผู้ร้องอ้าง ผู้ร้องย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔
ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ผู้ร้องว่า ผู้ร้องขอให้ศาลชี้ขาดโดยไม่ขอให้ศาลสืบพยานไต่สวนอย่างใด จะกลับมาอุทธรณ์ขอให้สืบพยานหรือไต่สวนอีก กับยกเอาพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าฯ มาอ้างในชั้นอุทธรณ์ โดยมิได้ยกขึ้นว่ามาแต่ศาลชั้นต้น เป็นการต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ไม่รับอุทธรณ์ ๒ ข้อนี้ นอกนั้นให้รับเป็นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องมีประเด็นเพียง ๒ ข้อ ซึ่งศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์เท่านั้น ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ๒ ข้อนี้ ผู้ร้องก็มิได้อุทธรณ์คำสั่ง จึงเป็นอันสิ้นสุด ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์มา ก็ไม่มีประเด็นอื่นที่ผู้ร้องอุทธรณ์อีก จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลอุทธรณ์
ผู้ร้องฎีกาว่า อุทธรณ์ทั้ง ๒ ข้อของผู้ร้องยังไม่สิ้นสุด อุทธรณ์ข้ออื่นของผู้ร้องยังมีอีกคือการเช่าห้องของผู้ร้อง โจทก์รู้เห็นยินยอมหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาว่าผู้ร้องทั้ง ๔ เป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องทั้ง ๔ คนเป็นบริวารของจำเลยให้ขับไล่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าที่ศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้ร้องเป็นบริวารโดยไม่ไต่สวนพยานของผู้ร้องก่อนไม่ชอบ แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้เสียแล้ว ผู้ร้องหาได้อุทธรณ์คำสั่งไม่ มีแต่อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งที่ให้ขับไล่ผู้ร้องนั้นเท่านั้น ดังนั้น ฟ้องอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่มีประเด็นข้อนี้ขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ เมื่อไม่มีประเด็นสู่ศาลอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นยังสั่งรับเป็นอุทธรณ์นอกจากนี้ (ซึ่งไม่มี) อีก ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษาให้ยกอุทธรณ์เสียได้ และผู้ร้องจะฎีกาต่อมาในทำนองเดียวกันให้ศาลฎีกาวินิจฉัยอีกไม่ได้
พิพากษายืนในผลที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้อง

Share