คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซึ่งจำเลยให้ประโยชน์เป็นเงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ และโจทก์ยอมโอนสิทธิส่วนได้เสียทั้งปวงในคดีความให้แก่จำเลยนั้น เป็นสัญญาที่แสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกันหรือนัยหนึ่งเป็นสัญญาซื้อขายความกัน ย่อมเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ
เมื่อสัญญาซึ่งก่อหนี้ตกเป็นโมฆะ สัญญาขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะด้วย ส่วนสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญานั้น ย่อมไม่มีผลผูกพันผู้จำนองให้ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาต่างตอบแทนกับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำสัญญาจำนองค้ำประกัน จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยที่ค้างและค่าขึ้นศาลในการดำเนินคดีตามสัญญา รวม ๑๐๐,๐๒๐.๘๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและดอกเบี้ยเป็นยอดเงิน ๑,๑๕๐,๐๐๐ บาท ในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินตามสัญญาเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าสัญญาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมโจทก์ตกลงซื้อที่ดินโฉนดที่ ๔๙๒๒, ๔๙๒๓ จากกองมรดกเจ้าพระเยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ โดยหม่อมหลวงพร้อม กุญชร ณ อยุธยา ผู้จัดการมรดกคนหนึ่งเป็นผู้ตกลงขายรวมกับโฉนดที่ ๕๖๖๔ ของหม่อมหลวงแฉล้ม ที่ดิน ๒ โฉนดแรกมีเนื้อที่ ๒๒ ไร่เศษ ทั้ง ๓ โฉนดจะโอนขายให้โจทก์ได้เพียง ๑๙ ไร่เศษ ส่วนอีก ๒ ไร่เศษตามพินัยกรรมยกให้พระยาอาทรธุรศิลป์บิดาจำเลยที่ ๒ ต้องกันไว้ให้จำเลยที่ ๒ โจทก์ตกลงซื้อเป็นราคาเงิน ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่การจดทะเบียนโอนทำไม่ได้เพราะพินัยกรรมห้ามซื้อขายนอกจากด้วยความประสงค์แห่งรัฐบาล โจทก์ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนสภาพที่ดินจากที่อยู่อาศัยเป็นที่ทำการค้าและจำเลยที่ ๑ ได้ช่วยวิ่งเต้นติดต่อกับคณะรัฐบาล โดยโจทก์จะให้ค่าตอบแทนและให้โอกาสจำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินคืน ๑ ไร่ในราคาทุน ในที่สุดได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ขายที่ดินมรดกได้ แต่ยังไม่ทันได้ทำสัญญากัน หม่อมหลวงพร้อมกับหม่อมหลวงบุญเหลือผู้จัดการมรดก ๒ คนลาออก ผู้จัดการมรดกที่ยังอยู่คือนายศิรวงศ์กับผู้จัดการมรดกที่ศาลตั้งใหม่ ๒ นาย ได้ฟ้องขับไล่โจทก์เพราะได้พาพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปทำการค้าขายสร้างตลาด ปลูกโรงเพิง และแผงลอย ในที่ดินของกองมรดกรายนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์กลับฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับผู้จัดการมรดกขายที่ดินมรดกดังกล่าวให้โจทก์ และเรียกค่าเสียหาย ๖๐๐,๐๐๐ บาท ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๔๒๒/๒๕๐๕ ของศาลแพ่งระหว่างดำเนินคดีดังกล่าว หม่อมหลวงแฉล้มทายาทคนหนึ่งของกองมรดกทำความตกลงกับโจทก์เพราะจะขายที่ดินให้คนอื่น โจทก์เรียกค่าเสียหาย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อทำยอมความและถอนฟ้องแย้งให้กับโจทก์และยอมให้เงินค่าบริการแก่หม่อมหลวงแฉล้ม ๑ แสนบาท แต่ยังตกลงกันไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้พาพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ สุพรรณเภสัช เข้าชื่อซื้อที่ดินกองมรดก จำเลยที่ ๑ จึงได้ขอทำความตกลงกับโจทก์บ้าง โจทก์เรียกค่าเสียหายและจะให้ค่าบริการเช่นเดียวกับหม่อมหลวงแฉล้ม โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำสัญญากันไว้ตามเอกสารหมาย จ.๖๐, ๖๑ แต่ในที่สุดจำเลยที่ ๑ จัดการไม่สำเร็จตามกำหนดเวลาในสัญญานั้น ต่อมาพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ สุพรรณเภสัช เสนอขอทำยอมความกับโจทก์โดยตรงให้โจทก์ถอนฟ้องแย้ง จะจ่ายเงินชดเชยให้โจทก์ ๑,๒๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ตกลงนัดทำสัญญากันในวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๐๗ แต่ครั้นแล้วก็ทำสัญญากันไม่ได้เพราะจำเลยที่ ๑ ไปอายัดที่ดินมรดกนี้ไว้อ้างว่า ถ้าโจทก์กับพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ทำสัญญากันดังกล่าว พันตำรวจโทสิทธิศักดิ์อาจไม่จ่ายเงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ตามที่ได้ตกลงกัน ทั้งนี้ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ เป็นผู้นำพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ผู้จะซื้อได้ทำความตกลงกับจำเลยที่ ๑ ว่าจะให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าได้ทำสัญญาซื้อขายกันได้ แต่จำเลยที่ ๑ จะต้องจัดการให้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีกับผู้จัดการมรดกประนีประนอมยอมความถอนฟ้องซึ่งกันและกันก่อน กับยังมีหน้าที่อย่างอื่นอีก หากจำเลยที่ ๑ จัดการเป็นผลสำเร็จ จำเลยที่ ๑ ยังจะได้เงินจากทางผู้จัดการมรดกผู้ขายที่ดินอีก ๕๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อเป็นดังนี้ต่อมาวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ กับโจทก์จึงได้ตกลงทำหนังสือสัญญาต่างตอบแทนเอกสารหมาย จ.๑ และนายวิเชียรจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินค้ำประกันสัญญาหมาย จ.๑ ครั้นแล้วจำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.๑๑ แจ้งให้โจทก์ดำเนินคดีกับผู้จัดการมรดกต่อไป ซ้ำยังขอให้โจทก์ตั้งทนายร่วมอีก ๑ คน และต้องเป็นผู้ที่จำเลยที่ ๑ ไว้วางใจ โจทก์จึงได้ตั้งหมายที่จำเลยที่ ๑ ต้องการให้เป็นหมายร่วมดำเนินคดี ต่อมา ซึ่งโจทก์ได้รวบรวมหลักฐานพยานจนเต็มความสามารถเพื่อต่อสู้คดีนั้น ก่อนสัญญาหมาย จ.๑ ครบกำหนด ๑ ปี จำเลยที่ ๑ กับโจทก์ได้ตกลงต่ออายุสัญญาออกไปอีก ๑ ปี ตามเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องจ่ายเงินชดเชยเพื่อมาให้โจทก์อีก ๔๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ชำระดอกเบี้ยตามสัญญาหมาย จ.๑ ให้โจทก์รวม ๘ งวด แล้วก็ไม่ชำระอีก โจทก์ให้ทนายมีหนังสือทวงถาม จำเลยได้รับแล้วก็ไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ และการซื้อขายที่ดินก็ไม่อาจกระทำให้สำเร็จไปได้
สัญญาต่างตอบแทนลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๐๗ ระหว่างโจทก์กับนางพิมะลา กุญชร ณ อยุธยา จำเลยที่ ๑ (เอกสารหมาย จ.๑) มีข้อกำหนดเป็นสาระสำคัญว่า โจทก์ผู้ให้สัญญาตกลงและยินยอมโอนสิทธิและส่วนได้เสียทั้งหลายทั้งปวงในผลแห่งคดีที่โจทก์เป็นความกับผู้จัดการมรดกของเจ้าพระยาเทเวศร์วงษ์วิวัฒน์ ตามสำนวนของศาลแพ่ง คดีอาญาเลขดำที่ ๒๔๒๒/๒๕๐๕ ให้แก่จำเลยที่ ๑ ผู้รับสัญญาโดยสิ้นเชิง และเป็นที่ตกลงกันทั้งสองฝ่ายว่า ในกรณีที่ผู้รับสัญญามีทางเจรจาประนีประนอมกับผู้จัดการมรดก โดยไม่ต้องดำเนินคดีต่อไปผู้ให้สัญญาก็จะดำเนินการตามคำสั่งของผู้รับสัญญาเพื่อถอนฟ้องแย้งคดีดังกล่าวเสีย หรือหากเป็นกรณีที่ผู้รับสัญญาไม่สามารถทำความตกลงกับผู้จัดการมรดกได้ ผู้ให้สัญญาก็ตกลงจะยิมยอมตามคำสั่งของผู้รับสัญญาที่จะดำเนินคดีก่อไปจนถึงที่สุด โดยผู้ให้สัญญาจะเป็นคู่ความแทนผู้รับสัญญา และผู้รับสัญญามีสิทธิที่จะแต่งตั้งทนายเข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณารักษาสิทธิและผลประโยชน์ของผู้รับสัญญาได้เต็มที่ทุกอย่างทุกประการ แต่ผู้รับสัญญาจะเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมตลอดจนค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เองแต่ผู้เดียวไม่เกี่ยวกับผู้ให้สัญญา เพื่อตอบแทนที่ผู้ให้สัญญาได้ตกลงโอนสิทธิและส่วนได้เสียในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๔๒๒/๒๕๐๕ ให้แก่ผู้รับสัญญาดังกล่าวมา ผู้รับสัญญาตกลงและยินยอมจ่ายเงินเป็นค่าชดเชยให้แก่ผู้ให้สัญญาเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยมีกำหนดเวลาและเงื่อนไขดังได้ระบุลงไว้ในสัญญานั้น
คดีมีปัญหาว่า สัญญาต่างตอบแทนหมาย จ.๑ ที่จำเลยที่ ๑ ทำกับโจทก์เป็นสัญญาชอบด้วยกฎหมายอันจะมีผลบังคับได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหตุที่จำเลยที่ ๑ กับโจทก์จะได้ทำสัญญาหมาย จ.๑ อันเป็นมูลคดีพิพาทกันนี้ก็เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ประสงค์จะกันมิให้โจทก์ทำสัญญากับพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ สุพรรณเภสัช ผู้ขอซื้อที่ดินของกองมรดกเพื่อจะประนีประนอมยอมความถอนฟ้องแย้งในคดีที่โจทก์เป็นความกับผู้จัดการมรดกนั้น เพราะจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากับพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์รับเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ไว้แล้ว ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะได้เงินค่าตอบแทนเมื่อคิดหักจากที่ต้องจ่ายให้โจทก์ตามสัญญาหมาย จ.๑ แล้ว ยังมีเงินเหลืออยู่อีกมากซึ่งจำเลยที่ ๑ จะได้รับจากพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ผู้ซื้อถึงกับจำเลยที่ ๑ ไปอายัดที่ดินของกองมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครในฐานะที่จำเลยที่ ๑ เป็นทายาทของกองมรดกไว้ มิให้ทำการซื้อขายกันได้แม้ต่อมาจำเลยที่ ๑ จะได้ขอถอนอายัด แต่จำเลยที่ ๑ ก็ได้อาศัยสัญญาต่างตอบแทนหมาย จ.๑ นี้ แจ้งให้โจทก์ดำเนินคดีกับผู้จัดการมรดกต่อไป ในเมื่อจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้รับผลตามสัญญาที่ได้ทำกับพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ สุพรรณเภสัช ผู้ขอซื้อซึ่งย่อมทำให้การซื้อขายที่ดินของกองมรดกไม่อาจกระทำสำเร็จได้เช่นกัน การดำเนินคดีต่อไปนั้นโจทก์คงเป็นคู่ความแต่ในนามแทนจำเลยที่ ๑ เท่านั้น โดยจำเลยที่ ๑ จะเป็นออกค่าธรรมเนียมค่าจ้าางทนายความเอง และเมื่อผลคดีถึงที่สุดประการใด ตกเป็นของจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้น สัญญาหมาย จ.๑ เป็นสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ให้ประโยชน์ คือ เงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ และโจทก์ยอมโอนสิทธิส่วนได้เสียทั้งปวงในคดีความนั้นให้แก่จำเลยที่ ๑ เท่ากับเป็นสัญญาที่แสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน หรือนัยหนึ่งเป็นสัญญาซื้อขายความกันนั่นเอง จึงเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตากเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓ หามีผลบังคับกันได้ไม่ ข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ เป็นทายาทของกองมรดก ย่อมถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่โจทก์เป็นความกับผู้จัดการมรดกนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้มีส่วนได้เสียในมูลคดีที่พิพาทกันนั้นโดยตรง เพราะจำเลยที่ ๑ เป็นทายาทของกองมรดก มีส่วนได้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมอยู่แล้ว สัญญาหมาย จ.๑ ที่จำเลยที่ ๑ ทำกับโจทก์อาจทำให้คดีนั้นเสร็จไปโดยการประนีประนอมยอมความได้ก็จริงอยู่ แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข้อสัญญาที่ให้จำเลยที่ ๑ สั่งให้โจทก์ดำเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุดอีกด้วย ซึ่งเจตนาอันแท้จริงเห็นได้ไว้เพื่อที่จำเลยที่ ๑ จะได้เงินจากพันตำรวจโทสิทธิศักดิ์ผู้ซื้อทรัพย์สินของกองมรดกอันเป็นทางได้ส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ เป็นสำคัญยิ่งกว่าวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญาต่างตอบแทนหมาย จ.๑ ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่สัญญาเพื่อระงับข้อพิพาทดังที่โจทก์อ้าง เมื่อสัญญาหมาย จ.๑ เป็นโมฆะเสียเปล่าแล้ว สัญญาหมาย จ.๒ ขยายระยะเวลาสัญญาหมาย จ.๑ ซึ่งเป็นสัญญาต่อเนื่องกับสัญญาหมาย จ.๑ จึงตกเป็นโมฆะไปด้วย ส่วนสัญญาหมาย จ.๑๕ ย่อมไม่มีผลผูกพันกับผู้จำนองให้ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นเดียวกัน ศาลล่างพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share