คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลย ผู้เสียหายและผู้ตายต่างเมาสุราแล้วเป็นปากเสียงทะเลาะวิวาทกันในวงสุรา และต่อเนื่องมาจนเกิดเหตุจำเลยแทงผู้เสียหายและผู้ตายเป็นเรื่องต่างสมัครใจวิวาทเข้าทำร้ายกันเนื่องจากขาดสติเพราะเมาสุรา จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่ผู้ตายมีบาดแผลถึง 8 แผลโดยเฉพาะที่หน้าอกมีถึง 6 แผล และทะลุเข้าหัวใจ เป็นเหตุให้ถึงตายแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 295 ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 12 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายนายเฉ็ม นนทรีย์ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บและนายล้วน นนทรีย์ ผู้ตายถึงแก่ความตายจริงจำเลยฎีกาว่านายเฉ็มผู้เสียหายและนายล้วนผู้ตายได้บุกรุกเข้าไปทำร้ายจำเลยถึงหน้าบ้านจำเลยโดยนายล้วนใช้มีดแทงทำร้ายมีดบาดแผลหลายแห่งและนายเฉ็มใช้ไม้ตีจำเลย จำเลยจึงหยิบมีดจากโต๊ะแทงนายเฉ็ม 1 ทีถูกนายเฉ็มล้มลง นายล้วนซึ่งอยู่ห่างประมาณ 5 เมตร ได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลย 1 นัด ถูกที่ข้อศอกขวา จำเลยจึงเข้าหานายล้วนใช้มีดที่ถืออยู่แทงนายล้วนหลายทีเพื่อป้องกันตนมิให้ได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จึงมีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตนหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า สาเหตุของการทำร้ายกันนี้เนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทกันในวงสุรา โดยนายมนัส โตมา เจ้าของบ้านเบิกความว่าระหว่างร่วมวงดื่มสุรากัน จำเลยกับนายเฉ็มมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกัน พยานจึงเข้าห้ามทั้งสองคนก็หยุดแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาตามคำเบิกความนายเฉ็มผู้เสียหายว่า เมื่อนายเฉ็มกลับถึงบ้านแล้วก็จะไปปรับความเข้าใจกับจำเลยที่บ้านของจำเลย ระหว่างทางพบกับจำเลยยังไม่ได้พูดอะไรกัน จำเลยก็ชักมีดแทงนายเฉ็ม 1 ทีถึงกับสลบไป และนางเปี๊ยภริยานายล้วนผู้ตายเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกา นายเหงี่ยมมาบอกนายล้วนว่า นายเฉ็มกับจำเลยทะเลาะกัน นายล้วนออกไปดูจึงถูกจำเลยใช้มีดแทงหลายแผลจนถึงแก่ความตาย จึงเห็นว่าที่จำเลยแทงทำร้ายนายเฉ็มและนายล้วนก็สืบเนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทกันที่วงสุรานั่นเอง

สำหรับพยานจำเลยที่นำสืบว่า นายเฉ็มกับนายล้วนเข้าทำร้ายจำเลยก่อนโดยนายเฉ็มใช้ไม้ตีและนายล้วนใช้ปืนยิงจำเลย จำเลยจึงใช้มีดแทงนายเฉ็มและนายล้วนเพื่อป้องกันตนนั้นขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย เอกสารหมาย ป.จ.6 ซึ่งจำเลยให้การไว้ว่า ระหว่างร่วมวงกันดื่มสุราที่บ้านนายมนัส จำเลยมีปากเสียงทะเลาะกับนายเฉ็มและนายล้วน นายเฉ็มลุกขึ้นเอาขวดสุราตีจำเลย จำเลยลุกขึ้นต่อยนายเฉ็มล้มลงได้รับบาดเจ็บนายล้วนเข้ามาช่วยจะเอามีดฟันจำเลย จำเลยจึงวิ่งหลบหนีกลับบ้าน นายเฉ็มและนายล้วนวิ่งไล่ตาม จำเลยจึงวิ่งเข้าบ้านหยิบเอามีดพร้าและมีดปลายแหลมออกมาเพื่อป้องกันตน พอนายเฉ็มและนายล้วนมาถึงจึงเข้าชุลมุนทำร้ายกัน คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ไม่ปรากฏว่านายล้วนผู้ตายใช้ปืนยิงจำเลยแต่อย่างใด จำเลยเพิ่งจะกล่าวอ้างว่านายล้วนใช้ปืนยิงจำเลยในชั้นพิจารณาของศาลนี่เอง และหลังจากเกิดเหตุแล้ว ในที่เกิดเหตุก็ดีหรือที่ศพของนายล้วนก็ดีไม่ปรากฏว่ามีอาวุธปืนที่นายล้วนใช้ยิงจำเลยแต่อย่างใด คำเบิกความของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง นอกจากนี้สิบตำรวจเอกเล็ก ทองเรน กับร้อยตำรวจโทประพันธ์ คุณดา เบิกความว่าขณะจับกุมจำเลย จำเลยมีอาการเมามาก แสดงว่าจำเลย ผู้เสียหายและผู้ตายต่างมึนเมาสุราด้วยกันแล้วมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันในวงสุราและต่อเนื่องมาจนกระทั่งจำเลยแทงนายเฉ็มผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บและแทงนายล้วนถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยกับผู้เสียหายและผู้ตายต่างสมัครใจวิวาทเข้าทำร้ายกัน เนื่องจากขาดสติเพราะมึนเมาสุรา เมื่อเป็นเช่นนี้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่ และข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพนายล้วนผู้ตายท้ายฟ้องว่าจำเลยแทงผู้ตายถึงแปดแผลด้วยกัน โดยเฉพาะบาดแผลที่หน้าอกอันเป็นแผลฉกรรจ์มีถึง 6 แผล และบาดแผลทะลุเข้าหัวใจเป็นเหตุให้นายล้วนถึงแก่ความตาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย”

พิพากษายืน

Share