คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่เป็นกรรมการตรวจรับรถยนต์ซึ่งเทศบาลซื้อ ได้ลงชื่อในใบตรวจรับพัสดุซึ่งมีข้อความว่าคณะกรรมการได้ตรวจรับรถยนต์แล้ว เห็นว่ามีปริมาณและคุณภาพถูกต้องครบถ้วน ทั้งราคาก็เป็นไปตามราคาในท้องตลาด และได้ส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่แผนกช่างรับไว้เป็นการถูกต้องแล้วซึ่งความจริงไม่มีการกระทำดังกล่าวเลย เพราะผู้ขายยังไม่ได้นำรถมาส่งมอบการที่จำเลยยังไม่ได้ตรวจรับและส่งมอบแต่ลงชื่อรับรองเป็นหลักฐานว่าได้กระทำการดังกล่าว จึงเป็นการรับรองเท็จอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162(1)และการที่จำเลยรับรองเป็นหลักฐานว่ารถที่ตรวจรับมอบนี้มีปริมาณคุณภาพถูกต้องครบถ้วน ทั้งราคาก็เป็นไปตามราคาในท้องตลาด และได้ส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่แผนกช่างรับไว้เป็นการถูกต้องแล้วนั้น เป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 162(4) ด้วย แม้การรับรองเป็นหลักฐานเช่นนี้ จำเลยจะกระทำไปโดยไม่ทุจริต ไม่เกิดความเสียหายก็เป็นผิดตามมาตราดังกล่าว

ย่อยาว

คดี 3 สำนวนนี้ ศาลรวมพิจารณา โดยเรียกนายแพทย์วิทยา ทรัพย์ปรุง เป็นจำเลยที่ 1 นายลั่น หวังสุข เป็นจำเลยที่ 2 นายเฉลิม นงนุช เป็นจำเลยที่ 3 นายสมเกียรติ ภู่ประเสริฐ เป็นจำเลยที่ 4 ฟ้องมีใจความว่า จำเลยทั้งสี่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 นายยกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสงขลาได้มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยทั้งสี่กับผู้มีชื่ออื่นเป็นกรรมการตรวจรับรถยนต์ที่เทศบาลสั่งซื้อ มีหน้าที่ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดหาพัสดุหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2503 จำเลยทั้งสี่ได้กระทำผิดหลายบทหลายกระทงกล่าวคือ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2513 จำเลยที่ 1 ที่ 4 และผู้มีชื่อที่เป็นเจ้าพนักงานดังกล่าว กับในวันเดียวกันแต่ต่างเวลากัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกันทำเอกสารโดยกรอกข้อความลงในใบตรวจรับพัสดุ รายงานผลการตรวจรับรถยนต์ที่เทศบาลสั่งซื้อรับรองเป็นหลักฐานว่าคณะกรรมการได้พร้อมกันตรวจนับรถยนต์ชนิดยี่ห้อฟอร์ดทรานซิท 1000 แบบมินิบัส จำนวน 1 คัน และรถยนต์บรรทุกขยะมูลฝอยยี้ห้อฟอร์ดจำนวน 1 คัน ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัด ซันแลนด์ หาดใหญ่ (สำหรับรถคันแรก) และบริษัทอุตสาหกรรมไทยมอเตอร์ จำกัด (สำหรับรถคันหลัง) ผู้ขายได้นำส่งตามใบสั่งซื้อของเทศบาลเมืองสงขลา เห็นว่ามีปริมาณและคุณภาพถูกต้องครบถ้วน ทั้งราคาเป็นไป ตามราคาท้องตลาด และได้ส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่แผนกช่างรับไว้เป็นการถูกต้อง อันเป็นความเท็จ ซึ่งความจริงตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยไม่ได้ทำการตรวจรับ และไม่มีรถยนต์ดังกล่าวให้ตรวจเลย เพราะห้าง ฯ และบริษัท ฯ ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์แก่เทศบาลเมืองสงขลา และจำเลยไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้แก่เจ้าหน้าที่แผนกช่างดังข้อความในใบตรวจรับพัสดุทั้งนี้ด้วยเจตนาทุจริต ทำหลักฐานเท็จขึ้นเพื่อประกอบฎีกาเบิกจ่ายเงินออกจากคลังเทศบาลเมืองสงขลา โดยเสนอผ่านนายกเทศมนตรีสั่งจ่ายแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ได้ใช้อำนาจโดยมิชอบสั่งจ่ายเงินดังกล่าวเสียเองโดยไม่มีหน้าที่แทนตัวนายกเทศมนตรี เจ้าหน้าที่คลังหลงเชื่อจึงจ่ายเงินให้ผู้ขายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 162, 83, 90, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 7, 13

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 151, 157 แต่จำเลยที่ 2 ที่ 4 มีความผิดตามมาตรา 162(1) และ (4) จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผิดตามมาตรา 162(1) พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 ให้รอกำหนดโทษไว้ 1 ปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่มีความผิดทุกข้อหา พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเข้าองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 แล้ว และจำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต ร่วมกันทำเอกสารหลักฐานเท็จ ทำให้เกิดความเสียหาย ยังเป็นความผิดตามมาตรา 151 และมาตรา 157 อีกด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151และ 157 ที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2502 มาตรา 7 และ 13 นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริง โดยวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดได้ทำการโดยทุจริต ไม่เจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหาย และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามมาตรา 219 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 162 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ ข้อนี้เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เป็นกรรมการตรวจรับรถยนต์ตามคำสั่งของนายกเทศมนตรี จำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้วได้ลงชื่อในใบตรวจรับพัสดุ ตามเอกสารหมาย จ.24 แผ่นที่ 2 และ จ.25 แผ่นที่ 2 ซึ่งข้อความตามเอกสารทั้งสองฉบับมีว่า คณะกรรมการได้ตรวจรับรถยนต์แล้ว เห็นว่ามีปริมาณและคุณภาพถูกต้องครบถ้วนทั้งราคาก็เป็นไปตามราคาในท้องตลาด และได้ส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่แผนกช่างรับไว้เป็นการถูกต้องแล้ว ซึ่งความจริงไม่มีการกระทำดังกล่าวเลย เพราะผู้ขายยังไม่นำรถมาส่งมอบ และคณะกรรมการคือจำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้ตรวจรับและส่งมอบแต่อย่างใด การที่จำเลยลงชื่อรับรองเป็นหลักฐานว่าได้กระทำการดังกล่าว จึงเป็นการรับรองเท็จ อันเป็นความผิดตามมาตรา 162(1) แห่งประมวลกฎหมายอาญา และการที่จำเลยทั้งสี่ได้รับรองเป็นหลักฐานในเอกสารดังกล่าวว่า รถที่ตรวจรับมอบนี้มีปริมาณคุณภาพถูกต้องครบถ้วน ทั้งราคาก็เป็นไปตามราคาในท้องตลาดและได้ส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่แผนกช่างรับไว้เป็นการถูกต้องแล้วนั้นเป็นการรับรองข้อเท็จจริงในเอกสารนั้นว่าเป็นความจริงตามที่เขียนไว้ซึ่งถ้าไม่มีการรับรองข้อเท็จจริงเช่นว่านี้ ก็ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานสำหรับใช้ประกอบฎีกาเบิกจ่ายเงินจากคลังได้ การรับรองดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 162(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วยการที่จำเลยรับรองเป็นหลักฐานเช่นว่านี้ แม้จะกระทำไปโดยไม่ทุจริต ไม่เกิดความเสียหาย และได้กระทำไปเพื่อประกอบฎีกาเบิกเงินจากคลังให้ทันปีงบประมาณ ก็เป็นความผิดตามมาตรา 162(1) และ (4) แล้ว ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 162(1) เท่านั้น ไม่ถูกต้อง เพราะข้อที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้าใจว่ามีการตรวจรับรถแล้วไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้ เนื่องจากตามเอกสารนั้นปรากฏชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ตรวจรับรถพร้อมกับจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดตามมาตรา 162(1) (4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(1) (4) ให้รอการกำหนดโทษไว้ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษา นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share