แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด อ.หาว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนยิง และใช้มีดแทงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ถอยออกไปแล้ว อ. คงยืนอยู่ที่เดิม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ของจำเลยที่ 2 ได้ร้องห้ามและวิ่งเข้าไปเพื่อจะแย่งมีดจาก อ..โดยไม่ปรากฏว่าอ. มีท่าทีจะทำร้ายจำเลยที่ 2 อีกต่อไป อ. เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 จะเข้ามาทำร้ายตน จึงใช้มีดแทงสวนไป 1 ที จำเลยที่ 1 ยังกระโดดเข้ามาหา อ. อีก แล้วเกิดปลุกปล้ำแย่งมีดกันขึ้นจำเลยที่ 1 แย่งไม่ได้ จึงถอยห่างออกไปแล้วใช้ปืนยิง อ.2 นัด ถูกหน้าอก อ.และจำเลยที่2ยกเก้าอี้ขึ้นตีศีรษะอ. อีก 2 ที ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกัน หากแต่เป็นการพยายามฆ่าคนโดยบันดาลโทสะ สำหรับจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง อ. จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย อ. จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยบันดาลโทสะเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนพกชนิดทำเอง ใช้ยิงได้และไม่มีเลขทะเบียน 1 กระบอก กระสุนปืน 7 นัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งได้บังอาจพกพาอาวุธปืนดังกล่าวเข้าไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และจำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันทำร้ายร่างกายนายอุดม โดยจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงจำเลยที่ 2 ใช้เก้าอี้ขาเหล็กตีนายอุดมโดยเจตนาฆ่า แต่นายอุดมไม่ถึงแก่ความตาย เพียงได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กระทงหนึ่งผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 กระทงหนึ่งและมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ให้จำคุกจำเลยที่ 1 สิบปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 3 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กระทงหนึ่ง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ลดฐานรับสารภาพแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 4 เดือน ให้ยกฟ้องในข้อหาว่าจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้อื่นและข้อหาว่าจำเลยที่ 2 ทำร้ายร่างกาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อนายอุดมมาสอบถามจำเลยที่ 2 และใช้มีดแทงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ถอยหลังออกไปแล้ว จำเลยที่ 1 ร้องห้ามมิให้นายอุดมทำร้ายจำเลยที่ 2 แล้ววิ่งเข้าไปเพื่อจะแย่งมีดจากนายอุดมโดยไม่ปรากฏว่านายอุดมมีท่าทีจะทำร้ายจำเลยที่ 2 ต่อไปอีก ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้วิวาททำร้ายนายอุดมส่วนการที่จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงนายอุดมนั้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยิงนายอุดมในขณะที่จำเลยที่ 1 ผละจากนายอุดมมาแล้วควักปืนออกมายิง โดยไม่ปรากฏว่านายอุดมได้ติดตามทำร้ายจำเลยที่ 1 หรือก่อให้เกิดภยันตรายใกล้จะถึงตัวจำเลยที่ 1 อีก ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ได้ความแน่ชัดว่าได้ถอยออกมาหลังจากถูกนายอุดมแทงเอาแล้ว กลับใช้เก้าอี้ตีศีรษะนายอุดมอีก 2 ที โดยไม่ปรากฏว่ามีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการใช้ปืนยิงนายอุดม จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่านายอุดมและจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานทำร้ายนายอุดมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย
อย่างไรก็ดี การที่นายอุดมเป็นฝ่ายก่อเหตุกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2ยิงปืนในตลาด จำเลยที่ 2 ได้ปฏิเสธโดยสุภาพว่าไม่ใช่ผู้ยิงนายอุดมคงยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ยิง และใช้มีดแทงจำเลยที่ 2 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 ถอยหนี จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ชายของจำเลยที่ 2 ร้องห้ามและเข้าแย่งมีดจากนายอุดม นายอุดมกลับใช้มีดแทงจำเลยที่ 1 อีกจนได้รับบาดเจ็บถึงสองแห่ง ถือได้ว่านายอุดมได้ข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยทั้งสองทำร้ายนายอุดมในทันทีทันใดนั้นเอง จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กระทงหนึ่ง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 กระทงหนึ่ง และผิดตามมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80และมาตรา 72 อีกกระทงหนึ่งให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 72 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด จำคุกจำเลยที่ 1 สามปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุกจำเลยที่ 2 สามเดือน มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 สองปี จำคุกจำเลยที่ 2 สองเดือน