คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2507 จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปในกิจธุระของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ได้ทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ที่ขับชนรถจักรยานยนต์โจทก์เสียหาย จำเลยต่อสู้ว่า ตามวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 มิได้ใช้จำเลยที่ 1 เกี่ยวกับกิจธุระและมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอารถไปใช้ ต่อมาโจทก์ขอแก้วันที่เป็นวันที่ 18 พฤษภาคม 2507 แต่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การขอแก้วันที่ให้ตรงตามที่โจทก์ขอแก้ฟ้อง ดังนี้ เมื่อเหตุการณ์ที่รถจำเลยชนรถโจทก์มีครั้งเดียวคือ วันที่โจทก์ขอแก้ฟ้องเท่านั้น จำเลยจึงนำสืบตามข้อต่อสู้ถึงวันที่จำเลยที่ 1 เอารถไปชนรถของโจทก์ได้ ไม่ขัดกับคำให้การ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2507 จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปในกิจธุระของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ได้ทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ที่ขับชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับมาจึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองปฏิเสธความรับผิดเฉพาะจำเลยที่ 2 ให้การว่าเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2507 จำเลยมิได้ใช้จำเลยที่ 1 เกี่ยวกับธุรกิจ และมิได้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลย จำเลยที่ 1 นำรถไปเองโดยพลการ

ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นวันที่ 18 พฤษภาคม 2507

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวใช้ค่าเสียหายและให้ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ 2

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าไม่ควรรับฟังพยานจำเลยนั้นปรากฏว่า เมื่อโจทก์ขอแก้วันที่ในฟ้องแล้ว แม้จำเลยมิได้ขอแก้คำให้การให้ตรงตามคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยก็ต่อสู้ไว้แล้วว่ามิได้ใช้หรือยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอารถไป และเหตุการณ์ที่รถชนรถโจทก์นี้ก็มีครั้งเดียว คือ วันที่ 18 พฤษภาคม 2507 เท่านั้น จำเลยจึงนำสืบตามข้อต่อสู้ของตนถึงวันที่จำเลยที่ 1 เอารถของตนไปโดนกับรถของโจทก์ได้ไม่ขัดกับคำให้การ

เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว พิพากษายืน

Share