แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนศาลยกฟ้องเพราะทนายโจทก์ลงชื่อเป็นโจทก์โดยลำพังโดยไม่มีอำนาจทั้งข้อหาก็อยู่ในอำนาจศาลทหาร โดยไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดี การยกฟ้องจึงหาใช่เพราะศาลได้พิจารณาถึงเนื้อหาในความผิดที่ได้ฟ้องไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ อ้างฎีกาที่ 1301/2503
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ดังนี้ จำเลยย่อมฎีกาว่าคดีเป็นฟ้องซ้ำ ไม่ควรพิจารณาต่อไปได้
ย่อยาว
คดีนี้ ได้ความว่า คดีก่อนนางใช้ลั่นฟ้องจำเลย ทนายโจทก์คดีนั้นลงชื่อเป็นโจทก์โดยลำพังกับทั้งตั้งข้อหาว่า จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บสาหัส ศาลจึงพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุที่ทนายไม่มีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์ ทั้งข้อหาก็อยู่ในอำนาจศาลทหารโดยไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดี
อัยการและโจทก์ร่วมมาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 395, 358, 91
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทำผิดและว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นฟ้องซ้ำให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ไม่ระงับยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่คดีก่อนถูกยกฟ้องไปหาใช่เพราะศาลได้พิจารณาถึงเนื้อหาในความผิดซึ่งได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่คงเห็นเพียงว่าทนายโจทก์ไม่มีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไม่ได้เท่านั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีใหม่นี้ได้ หาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) เพราะฟ้องซ้ำไม่ ดังนัยฎีกาที่ 1301/2503
พิพากษายืน