คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานเก็บเงินรายได้ต่าง ๆ ของเทศบาลรวมทั้งภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำเลยได้เก็บหรือรับเงินจากผู้นำมาชำระ จึงเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานเก็บเงิน เมื่อยักยอกเงินซึ่งได้รับมอบหมายไว้ตามหน้าที่ ย่อมมีความผิดตามมตรา 147
นายกเทศมนตรีได้แต่งตั้งปลัดเทศบาลเป็น “พนักงานเจ้าหน้าที่” สมุหบัญชีเป็น “พนักงานเก็บภาษี” มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บ เร่งรัด ค่าภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 แต่ปลัดเทศบาลและสมุหบัญชีมิได้ทำหน้าที่ด้วยตนเอง จำเลยได้รับมอบหมายไปปฏิบัติผู้เดียว ฉะนั้น การที่จำเลยเก็บเงินภาษี จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเก็บเงินซึ่งมีสมุหบัญชีเป็นหัวหน้า ถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่จำเลยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ เมื่อเบียดบังยักยอก จะอ้างว่าไม่ได้ทำในหน้าที่ หรือไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ย่อมฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานเทศบาลเมืองชัยภูมิ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีหน้าที่จัดเก็บเงินค่าภาษีโรงเรียนและที่ดินส่งเทศบาล ได้เก็บเงินค่าภาษีดังกล่าวสำหรับปี ๒๕๐๓ รวม ๒๑ ราย เป็นเงิน ๕,๔๓๘.๗๕ บาท แล้วเบียดบังยักยอกเป็นของจำเลยโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗,๑๕๑ กับให้คืนเงิน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดมาตรา ๑๔๗ รับสารภาพ ลดโทษ ๑ ใน ๓ จำคุก ๓ ปี ๔ เดือน กับให้ใช้เงิน
โจทก์อุทธรณ์ให้พิพากษาเรียงกระทงลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า จำเลยเป็นพนักงานเก็บเงินรายได้ต่าง ๆ ของเทศบาล รวมทั้งเงินภาษีโรงเรือนและที่ดิน การที่จำเลยเก็บเงินภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือรับเงินจากผู้นำมาชำระไว้ จึงเป็๋นการกระทำในหน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงิน เมื่อจำเลยยักยอกเงินซึ่งได้รับมอบหมายไว้ตามหน้าที่นั้นเสีย ต้องมีความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๑๔๗
การที่นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิแต่งตั้งให้ปลัดเทศบาลเป็น “พนักงานเจ้าหน้าที่” และสมุหบัญชีเป็น “พนักงานเก็บภาษี” มีอำนาจและหน้าที่จัดเก็บและเร่งรัดให้ชำระค่าภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.๒๔๗๕ นั้น เห็นว่า ผู้ได้รับแต่งตั้งย่อมมีอำนาจมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติการแทนได้ มิใช่หมายความว่า สมุหบัญชีจะต้องไปคอยเก็บหรือรับเงินค่าภาษีด้วยตนเอง ได้ความว่า ทั้งปลัดเทศบาลและสมุหบัญชีมิได้ทำหน้าที่ด้วยตนเอง จำเลยได้รับมอบหมายไปปฏิบัติแต่ผู้เดียว จำเลยเคยประเมินเรียกเก็บภาษีและเก็บเงินภาษีประเภทนี้มาก่อนเกิดเหตุ และลงนามแจ้งการประเมินภาษีประจำปี ๒๕๐๒ ฉะนั้น การที่จำเลยเก็บเงินภาษีดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่พนักงานเก็บเงินซึ่งมีสมุหบัญชีเป็นหัวหน้า ถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่จำเลยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ของจำเลย เมื่อจำเลยเบียดบังยักยอกไว้ จะอ้างว่าไม่ได้ทำในหน้าที่หรือไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ ย่อมฟังไม่ขึ้น วินิจฉัยฎีกาข้ออื่นแล้วพิพากษายืน

Share