คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทำหนังสือส่งไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการและกรรมการตุลาการอื่นทุกคนกล่าวหาว่า โจทก์ซึ่งเป็นกรรมการตุลาการคนหนึ่งผูกใจเจ็บแค้นมารดาจำเลยเพราะมีคดีเรื่องบุกรุกและหาเหตุกลั่นแกล้งจนมารดาจำเลยถึงแก่กรรม แล้วโจทก์ยังมาฟ้องกล่าวหาจำเลยในมูลละเมิดโดยใช้อิทธิพลในฐานะเป็นกรรมการตุลาการทำให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีเกิดความกลัวบีบบังคับให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยในการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าว อันทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่จำเลยรู้ดีว่าไม่มีมูลความจริง ย่อมแสดงให้เห็นในเบื้องต้นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของจำเลย ทั้งจำเลยก็ไม่อาจแก้ตัวได้ว่ากระทำการดังกล่าวเพื่อป้องกันผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนหรือเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) เพราะในคดีแพ่งที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับมูลละเมิด จำเลยก็มีทนายช่วยแก้ต่างจำเลยจึงย่อมทราบดีกว่าขั้นตอนของกระบวนวิธีพิจารณาเป็นอย่างไรและควรปฏิบัติอย่างไรหากเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในปัญหาที่พิพาทกับโจทก์มิใช่ร้องเรียนไปยังบรรดาบุคคลซึ่งจำเลยทราบดีว่าไม่อาจบันดาลใด ๆ ในทางคดีได้แต่กลับเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จำเลยมุ่งประสงค์ใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ และเป็นการกระทำที่มีลักษณะให้ข้อความหมิ่นประมาทดังกล่าวแพร่หลายไปในวงการของนักกฎหมายและบุคคลอื่น เพื่อให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกิดเข้าใจผิดดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์อันส่งผลกระทบต่อเกียรติและสถานะในทางสังคมของโจทก์โดยตรงสมดังเจตนาอันแท้จริงของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรรมการตุลาการ จำเลยกับพวกทำหนังสือใส่ความโจทก์ส่งไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการและกรรมการตุลาการอื่นทุกคนว่า โจทก์ผูกใจเจ็บแค้นมารดาจำเลยเพราะมีคดีเรื่องบุกรุกและหาเหตุกลั่นแกล้งจนมารดาจำเลยถึงแก่กรรม แล้วโจทก์ยังมาฟ้องกล่าวหาจำเลยในมูลละเมิดโดยใช้อิทธิพลในฐานะเป็นกรรมการตุลาการมีอำนาจในการให้คุณ ให้โทษแก่บรรดาตุลาการทั้งหลาย ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีเกิดความเกรงกลัวบีบบังคับให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยในการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวซึ่งข้อความนั้นล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้นการกระทำของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งคดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ ปรับ ๙๐๐ บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๖๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา ๒๙, ๓๐ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ ลงโทษจำคุก ๖ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นพิเคราะห์เห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ข้อความในหนังสือที่จำเลยทำส่งไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการและกรรมการตุลาการอื่นล้วนเป็นความเท็จ การที่จำเลยบังอาจกล่าวข้อความเหล่านั้นให้โจทก์ต้องเสื่อมเสีย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจของตนดีว่าไม่มีมูลความจริง ในเบื้องต้นจึงแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของจำเลย ทั้งบรรดาบุคคลที่จำเลยส่งเอกสารไปถึง โดยอ้างว่าเพื่อร้องขอความเป็นธรรมนั้น ก็ปรากฏว่ามิได้มีอำนาจเกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีแต่อย่างใด ในคดีแพ่งที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับมูลละเมิด จำเลยก็มีทนายช่วยแก้ต่าง ย่อมจะทราบดีว่าขั้นตอนของกระบวนวิธีพิจารณาจะดำเนินไปอย่างไรและจำเลยควรปฏิบัติอย่างไรหากเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมเพียงพอจากคำสั่งหรือคำวินิจฉัยของศาลในปัญหาที่พิพาทกับโจทก์ มิใช่ร้องเรียนไปยังบรรดาบุคคลซึ่งจำเลยทราบดีแล้วว่า ไม่อาจบันดาลผลใดๆ ในทางคดีได้ ดังนั้น การที่จำเลยจะแก้ตัวว่า การกระทำดังกล่าวเพื่อป้องกันผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนซึ่งฟังไม่ขึ้น ตรงกันข้ามศาลฎีกาเห็นว่าพฤติกรรมของจำเลยส่อเจตนาชัดแจ้งว่า มุ่งประสงค์จะใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจในบรรดาผู้พิพากษาจนได้รับเลือกเป็นกรรมการตุลาการให้ต้องเสื่อมเสียไป ทั้งเป็นการกระทำอันมีลักษณะให้ข้อความที่เป็นหมิ่นประมาทดังกล่าวแพร่หลายไปในวงการของนักกฎหมายและบุคคลอื่นเพื่อให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกิดเข้าใจผิดดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ อันส่งผลกระทบต่อเกียรติและสถานะในทางสังคมของโจทก์โดยตรง สมดังเจตนาอันแท้จริงของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยลงโทษจำเลยและรอการลงอาญาไว้นั้นนับเป็นคุณแก่จำเลยแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share