แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีอาวุธเข้าไปปลูกบ้านและยึดถือครอบครองที่ดินบางส่วนของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365,362 ให้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุกที่ของโจทก์ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยตกลงท้ากันนำสืบพยานคนกลาง ให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อเถียง ว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนหรือไม่ ถ้าเป็น โจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่เป็น จำเลยแพ้ยอมออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปด้วย เมื่อได้ความว่าที่พิพาทไม่ใช่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยย่อมแพ้คดีในส่วนแพ่ง แต่จะลงโทษจำเลยฐานบุกรุกหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏตามพยานหลักฐาน หรือจำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
แม้ที่พิพาทจะอยู่ในเขตที่ทางราชการได้รังวัดทำแผนที่ไว้ให้อยู่ในเขตป่าสงวน แต่เมื่อยังไม่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้เขตนั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมาย ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยได้ร่วมกันมีอาวุธมีดไม้เข้าไปปลูกบ้านเรือนห้องแถวและยึดถือครอบครองที่ดินบางส่วนของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ที่ดินที่จำเลยบุกรุกอาจให้เช่าได้เดือนละ 232 บาท เป็นเวลา 6 เดือน คิดค่าเช่าได้ 8,352 บาท ก่อนฟ้องโจทก์ให้ทนายมีหนังสือแจ้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยเพิกเฉยเสีย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 362, 83 ให้จำเลยทั้งสามรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง ให้ชดใช้ค่าเสียหาย 8,352 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 232 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องข้อหาฐานบุกรุก สั่งคดีมีมูและประทับฟ้อง
จำเลยให้การและเพิ่มเติมว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ที่พิพาทเป็นของจำเลยซึ่งครอบครองโดยสงบและเปิดเผยมากว่า 10 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ หนังสือ น.ส.3 ของโจทก์ปลอมเจ้าพนักงานที่ดินและนายอำเภอไม่มีอำนาจออกหนังสือ น.ส.3 ให้บุคคลใดได้เพราะที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน
ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อเดียวว่าที่ดินเป็นป่าสงวนหรือไม่ ถ้าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ยอมแพ้ถ้าไม่เป็นที่ป่าสงวน จำเลยยอมแพ้ยอมออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติจำเลยต้องแพ้คดีตามคำท้า เมื่อจำเลยบุกรุกที่พิพาท มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 ประกอบด้วยมาตรา 83 พิพากษาปรับจำเลยคนละ 1,000 บาท ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ยังฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนของชาติตามกฎหมาย และจำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินของโจทก์ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาฐานบุกรุก นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนแพ่งด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่นั้น ได้ความว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ทางราชการได้รังวัดทำแผนที่ไว้ให้อยู่ในเขตป่าสงวนและไม่ยกเว้นกันไว้เป็นที่ทำกินของราษฎรอันอาจยึดถือครอบครองได้ก็ตาม แต่ทางราชการยังไม่ได้ออกเป็นกฎกระทรวงให้มีผลใช้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเขตที่ทางราชการรังวัดทำแผนที่ ซึ่งที่พิพาทตั้งอยู่ในเขตเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมายเพราะตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 5, 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเป็นผู้กำหนดป่าอื่นใดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยให้ออกเป็นกฎกระทรวงซึ่งต้องมีแผนที่แสดงแนวเขตป่าที่กำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นแนบท้ายกฎกระทรวงด้วย ตราบใดที่ยังไม่มีกฎกระทรวงกำหนดให้ป่าที่ที่พิพาทตั้งอยู่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ การรังวัดทำแผนที่หรือปักเขตแสดงเครื่องหมายป่าสงวนก็เป็นแต่เพียงโครงการที่จะกำหนดให้ป่านั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติในอนาคตเท่านั้น จึงต้องฟังว่าที่พิพาทไม่ใช่ป่าสงวนแห่งชาติจำเลยต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
ปัญหาจะลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามฟ้องนั้น จะต้องได้ความว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยได้ความจากพยานหลักฐานหรือโดยจำเลยให้การรับสารภาพในกรณีที่กฎหมายไม่บังคับให้ต้องฟังพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176, 185 วรรค 2 จะพิพากษาลงโทษจำเลยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความตามคำท้าในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง อันมิใช่ประเด็นข้อกล่าวหาในความผิดที่จะลงโทษจำเลยโดยตรงหาได้ไม่ คดีนี้ไม่ปรากฏตามพยานหลักฐานหรือจำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
พิพากษายืน