คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเองเป็นผู้ใช้มีดเชือดคอเด็กหญิงอายุ 5 ขวบถึงแก่ความตาย และจำเลยยังร่วมกับจำเลยอื่นกระทืบเด็กชายอายุ 8 เดือน ทั้งได้ใช้ผ้าอุดจมูกจนหายใจไม่ออกตาย นอกจากนี้ยังใช้ยาพิษกรอกปากกับใช้มีดเชือดคอมารดาของเด็กทั้งสองผู้ตายจนหลอดเสียงขาด เพื่อจะฆ่าให้ตายด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวนี้จึงถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้าย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้สมคบกันปล้นเอาสร้อยคอราคา ๑,๗๐๐ บาทของนางปทุมมา ด่านตระกูล ไป ในการปล้น จำเลยใช้ยาฆ่าแมลงรินใส่ถ้วยบังคับขืนใจกรอกเข้าไปในปากของนางปทุมมาใช้ไม้ตีทำร้ายนางปทุมมา ใช้มีดเชือดคอเด็กหญิงบุศราและนางปทุมมา เด็กหญิงบุศราถึงแก่ความตายและใช้ผ้าสำลีอุดปากเด็กชายปรัชญาจนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐, ๒๘๙, ๒๘๘, ๘๓ และให้สั่งคืนของกลางแก่เจ้าทรัพย์ด้วย
จำเลยที่ ๑ รับสารภาพ จำเลยที่ ๒ ชั้นแรกปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เกือบหมดแล้วขอถอนคำให้การเดิม ขอรับสารภาพผิดตามโจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๒๘๙ (๔, ๕, ๖, ๗), ๒๘๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙ อันเป็นบทหนัก ให้ประหารชีวิตจำเลยทุกคนเฉพาะตัวนายเชยจำเลยที่ ๑ และนางละม่อมจำเลยที่ ๒ รับสารภาพ มีประโยชน์แก่การพิจารณาเมื่อลดแล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๐ ปี จำเลยที่ ๒ คงจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ ๓ ไม่มีเหตุอันควรลดโทษ คงให้ลงโทษประหารชีวิต
จำเลยที่ ๓ ผู้เดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ ด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๓ ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าหากจะฟังตามพยานโจทก์ก็ลงโทษจำเลยถึงประหารชีวิตไม่ได้เพราะการกระทำของจำเลยไม่เป็นการทารุณโหดร้ายแต่อย่างใด นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๓ นี้เองเป็นผู้ใช้มีดเชือดคอเด็กหญิงบุศราถึงแก่ความตาย และจำเลยร่วมกันกระทืบเด็กชายปรัชญาใช้ผ้าอุดจมูกจนหายใจไม่ออกตาย และยังใช้ยาพิษกรอกปาก ใช้มีดเชือดคอนางปทุมมามารดาของเด็กทั้งสองผู้ตายจนหลอดเสียงขาดเพื่อฆ่าให้ตายด้วย การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙(๕) บัญญัติไว้ อย่างไรก็ดี ศาลล่างทั้งสองยังฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยฆ่าผู้ตายในการปล้นทรัพย์ เป็นความผิดต้องตามมาตรา ๒๘๙ อนุมาตราอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้ง และข้อเท็จจริงก็ฟังได้เช่นนั้น ความผิดของจำเลยจึงไม่พ้นมาตรา ๒๘๙ อันต้องระวางโทษประหารชีวิต พิพากษายืน

Share