คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่ได้ร่วมกับผู้หลบหนีข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 12 ปี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ส่วนปัญหาว่า จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายอันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคแรก ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหาย ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คน หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุ 12 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนสำเร็จความใคร่ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ลงโทษจำคุก 1 ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกับนายประพาผู้ที่หลบหนีไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 12 ปี และพิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เฉพาะข้อหานี้ ส่วนปัญหาว่า จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายอันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่วินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหายจริง จึงมีความผิดฐานนี้ ซึ่งศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share