แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4(4) ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 4 บัญญัติให้ผู้ครอบครองมีหน้าที่พิสูจน์ว่า ไม้ในความครอบครองนั้นไม่เป็นไม้แปรรูปก็ตาม ในเรื่องนี้โจทก์ฎีกาได้แต่ข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์ว่า ไม้นั้นไม่เป็นไม้แปรรูปแล้ว ไม้ของกลางที่มีไว้ก็ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย จำเลยก็ไม่จำต้องนำสืบพิสูจน์อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีไม้สักแปรรูป ๒ จำนวน จำนวนที่ ๑ ไม้สักแปรรูป ๓๕๘ แผ่น เนื้อไม้ ๓.๐๓ ลูกบาศก์เมตร จำนวนที่ ๒ ไม้สักแปรรูป ๘๖ แผ่น เนื้อไม้ ๑.๐๗ ลูกบาศก์เมตร ไม้สาธร ไม้แดง ฯลฯ รวมเนื้อไม้ ๒.๑๔ ลูกบาศก์เมตร ไว้ในความครอบครอง
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม้ของกลางทั้งหมดเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว เฉพาะไม้สักแปรรูป ๘๖ แผ่น เนื้อไม้ ๑.๐๓ ลูกบาศก์เมตร เป็นไม้ที่ใช้ประกอบเป็นบ้านมาแล้วเกินกว่า ๒ ปีเสีย ๗๔ แผ่น คงเป็นไม้พื้นที่ไม่ได้ใช้ประกอบบ้านเพียง ๑๒ แผ่น ไม้สาธร ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้ประดู่แปรรูป จำนวน ๒.๑๔ ลูกบาศก์เมตร มีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม้นอกจากนี้รวมทั้งไม้สัก ๓๕๘ แผ่นเป็นไม้ที่ใช้ประกอบบ้านมาเกินกว่า ๒ ปีแล้วทั้งสิ้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ สืบพยาน ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การเป็นพยานจำเลยที่ ๑ แล้วแถลงว่าสำหรับตนเองไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ จำคุกจำเลยที่ ๒ ไม้ของกลางริบ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า ไม้ของกลางบางส่วนเคยใช้ปลูกสร้างบ้านเรือนมาก่อนหลายปีแล้ว ไม่ใช่เป็นไม้ที่มีไว้ผิดกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม้สักแปรรูป ๘๖ แผ่นกับไม้อื่น ๆ ตามฟ้องนั้น มีไว้โดยผิดกฎหมาย ส่วนไม้สักแปรรูป ๓๕๘ แผ่น เป็นไม้สักที่ใช้ในการปลูกสร้างมานานเกินกว่า ๒ ปีไม่ใช่ไม้ที่มีไว้เป็นผิดกฎหมาย ให้คืนแก่จำเลยไป
โจทก์ฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า”ไม้ที่เคยอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือเป็นเครื่องใช้มาแล้ว และผู้ครอบครองพิสูจน์ได้ว่าเคยมีสภาพเช่นนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ปี มิให้ถือว่าเป็นไม้แปรรูป” เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นดังข้อต่อสู้ของตน ก็ต้องถือว่าเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมาย จำเลยมีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ศาลสั่งริบ
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นที่ว่า ไม้สักของกลางเป็นไม้ที่ใช้ประกอบเป็นบ้านมาแล้วเกินกว่า ๒ ปีหรือไม่นั้น แม้ตามกฎหมายเป็นหน้าที่จำเลยผู้ครอบครองไม้จะต้องนำสืบพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าวดังโจทก์ฎีกาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังจากคำพยานโจทก์นั้นเองว่า ไม้รายนี้ได้ใช้ปลูกสร้างบ้านเรือนมากว่า ๒ ปีแล้ว เมื่อได้ความจากคำพยานโจทก์ดังนี้แล้ว ไม้ของกลางที่มีไว้ก็ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย จำเลยที่ ๒ จึงไม่จำต้องนำสืบพิสูจน์อีก ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์