คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1098/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 วางเงิน 15,887.50 บาท ต่อศาล เพื่อขอทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลไว้เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2534 ว่า หากโจทก์ทั้งสามแพ้คดีและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษายินยอมให้บังคับเอากับเงินที่นำมาวางเป็นหลักประกันได้ แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ที่ 1 แพ้คดี และคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่โจทก์ที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังไม่มีสิทธิขอรับเงินที่วางไว้ดังกล่าวคืน โจทก์ที่ 1 จะมีสิทธิขอคืนได้ต่อเมื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 นำเงินจำนวนใหม่มาวางชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544 โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินที่วางเป็นหลักประกันคืนตั้งแต่วันดังกล่าว หาใช่นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ โจทก์ที่ 1 ขอรับเงินคืนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2544 ยังไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่มีสิทธิเรียกร้อง เงินนั้นไม่ตกเป็นของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 โจทก์จึงมีสิทธิขอรับเงินจำนวน 15,887.50 บาท ดังกล่าวคืนไปได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ ๒ โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะสำนวนคดีแรก ส่วนสำนวนคดีหลังมีทุนทรัพย์ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและวางเงิน ๑๑,๙๓๗.๕๐ บาท เป็นประกันสำหรับหนี้ที่ต้องชำระตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๓๔ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีมีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ส่วนคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตโดยให้วางประกัน โจทก์ที่ ๑ ขอใช้เงินที่วางไว้แล้ว ๑๑,๙๓๗.๕๐ บาท และที่วางเพิ่มอีก ๓,๙๕๐ บาท รวม ๑๕,๘๘๗.๕๐ บาท เป็นประกันในการทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๖ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ โจทก์ที่ ๑ วางเงินจำนวน ๒๒,๓๖๖.๘๘ บาท ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว
โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๔ ขอรับเงินที่วางเป็นประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์จำนวน ๑๕,๘๘๗.๕๐ บาท คืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “โจทก์ที่ ๑ ขอรับเงินคืนเมื่อพ้นกำหนด ๕ ปี นับแต่คดีถึงที่สุด เงินดังกล่าวจึงตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ยกคำแถลง”
โจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เงินที่โจทก์ที่ ๑ วางเป็นหลักประกันจำนวน ๑๕,๘๘๗.๕๐ บาท เพื่อขอทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์โดยทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๔ ว่า หากโจทก์ทั้งสามแพ้คดีและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ยินยอมให้บังคับเอากับเงินที่นำมาเป็นหลักประกันได้ แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ที่ ๑ แพ้คดี และคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่โจทก์ที่ ๑ ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังไม่มีสิทธิขอรับเงินที่วางไว้ดังกล่าวคืน โจทก์ที่ ๑ จะมีสิทธิร้องขอคืนได้ต่อเมื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ ๑ นำเงินจำนวนใหม่มาวางชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ โจทก์ที่ ๑ จึงมีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินที่วางเป็นหลักประกันคืนตั้งแต่วันดังกล่าวหาใช่นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ โจทก์ที่ ๑ ขอรับเงินคืนเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๔ ยังไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่มีสิทธิเรียกร้อง เงินนั้นไม่ตกเป็นของแผ่นดินตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๓๒๓ โจทก์จึงมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวคืนไปได้
พิพากษากลับ ให้คืนเงิน ๑๕,๘๘๗.๕๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑.

Share