คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยแยกฟ้องเป็นสองสำนวน และมีคำขอให้นับโทษของจำเลยแต่ละสำนวนต่อกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน การกระทำของจำเลยในแต่ละสำนวนจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยเรียงกระทงลงโทษจำเลยในสำนวนแรก จำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท และสำนวนที่สองจำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท จึงเป็นการนับโทษจำคุกของจำเลยทุกกระทงในสองสำนวนติดต่อกันแล้ว แม้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกคำขอให้นับโทษต่อ ก็เป็นเพียงการพิพากษาเกินเลยไปเท่านั้น ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องอุทธรณ์แต่อย่างใด เมื่อศาลชั้นต้นนับโทษต่อกันแล้วจึงต้องรวมโทษทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน และนำโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 2372/2555 มาบวกเข้ากับโทษจำคุกดังกล่าวด้วย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 58 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 2372/2555 ของศาลจังหวัดนนทบุรี เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 3479/2556 ของศาลชั้นต้น
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 58, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 2372/2555 ของศาลจังหวัดนนทบุรี เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1448/2556 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่โจทก์ ขอให้บวกโทษและนับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2)), 66 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน (ที่ถูกฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 10,000 เม็ด และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 10,000 เม็ด เป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน) จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000,000 บาท ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย (ที่ถูก จำนวน 8,100 เม็ด) จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท รวมจำคุก 50 ปี และปรับ 2,000,000 บาท เมื่อนำโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 2372/2555 ของศาลจังหวัดนนทบุรีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้แล้ว รวมเป็นจำคุก 50 ปี 6 เดือน และปรับ 2,000,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนคำขอให้นับโทษต่อนั้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ในสำนวนแรกลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายแดงที่ อ. 2372/2555 ของศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นจำคุก 25 ปี 6 เดือน และปรับ 1,000,000 บาท ในสำนวนที่สอง ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ไม่รวมโทษทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ยกคำขอให้บวกโทษจำคุกในสำนวนที่สอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รวมโทษทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยแยกฟ้องเป็นสองสำนวน และมีคำขอให้นับโทษของจำเลยแต่ละสำนวนต่อกัน ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยในแต่ละสำนวน จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยเรียงกระทงลงโทษจำเลยในสำนวนแรก จำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท และสำนวนที่สองจำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท จึงเป็นการนับโทษจำคุกของจำเลยทุกกระทงในสองสำนวนติดต่อกันแล้ว แม้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกคำขอให้นับโทษต่อ ก็เป็นเพียงการพิพากษาเกินเลยไปเท่านั้น ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องอุทธรณ์แต่อย่างใด เมื่อศาลชั้นต้นนับโทษต่อกันแล้วจึงต้องรวมโทษทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน และนำโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 2372/2555 ของศาลจังหวัดนนทบุรี มาบวกเข้ากับโทษจำคุกดังกล่าวด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ.2559 ใช้บังคับ โดยมาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 30 และให้ใช้ความใหม่แทน ซึ่งกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดเป็นคุณกว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด จึงให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยไม่ว่าในทางใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ไม่ยกคำขอให้นับโทษต่อ และหากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่)

Share