แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและบังคับให้จำเลยขนย้ายกองไม้ออกไปให้พ้นทางภารจำยอม ศาลพิพากษาบังคับตามฟ้องโจทก์ แต่มีรั้วพิพาทในคดีนี้ปิดกั้นกีดขวางทางภารจำยอมอยู่ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วพิพาทออกไป ดังนี้ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิของโจทก์โดยสุจริต
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อรั้วพิพาทดังกล่าว เป็นการใช้สิทธิของโจทก์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ตามปกติธรรมดา ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์เรียกไม่ได้ว่าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป และไม่ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันจำเลยที่ ๑ เป็นบุตรนางอ่อน สนธิธรรมโจทก์กับนางอ่อนต่างมีที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดติดต่อกันโจทก์เคยตกลงให้ที่ดินของโจทก์แก่นางอ่อน โดยนางอ่อนยอมเปิดทางในที่ดินของนางอ่อนเป็นทางภารจำยอมให้โจทก์และบริวารใช้เดินไปสู่ทางหลวงและลำน้ำเจ้าพระยา ปลายปี ๒๕๐๕ จำเลยทั้งสองจะรื้อเรือนนางอ่อนปลูกใหม่ขยายออกมาทับทางภารจำยอม โจทก์ไม่ยอม โจทก์นางอ่อน และจำเลยทั้งสองตกลงกันให้เขตทางภารจำยอมด้านเหนือตั้งแต่ต้นชมพู่ลงมาทางใต้ กว้างประมาณ ๖.๔๐ เมตร ต่อมาจำเลยทั้งสองตัดต้นชมพู่และนำเศษไม้มากองไว้ในทางภารจำยอม โจทก์จึงฟ้องนางอ่อนและจำเลยทั้งสองตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๙/๒๕๐๖ หมายเลขแดงที่ ๗๔/๒๕๐๗ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยทำสิ่งกีดขวางในทางภารจำยอมขณะนั้นด้านตะวันออกของทางภารจำยอมมีรั้วที่จำเลยทำขึ้นเป็นสิ่งกีดขวางอยู่แล้วโจทก์เข้าใจว่าถ้าโจทก์ชนะคดี ศาลคงบังคับให้รื้อถอนรั้วออกไปด้วยศาลพิพากษาคดีดังกล่าวว่า ทางพิพาทกว้าง ๖.๔๐ เมตร เป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ ต่อมานางอ่อนตาย จำเลยที่ ๑ รับมรดกที่ดินของนางอ่อนและรับมรดกความ ได้ขนกองไม้ไม้ออกไปแล้ว แต่ไม่รื้อรั้ว จึงขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วไม้ออกไป
จำเลยให้การว่า รั้วพิพาทมีมานานแล้ว มิได้กีดขวางทางภารจำยอมโจทก์จึงมิได้กล่าวถึงรั้วในการฟ้องคดีก่อน โจทก์เคยเดินเข้าออกอย่างไรไม่มีสิทธิใช้เดินเกินกว่านั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่สุจริตเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย และเป็นฟ้องซ้ำ
วันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อ ศาลสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วออกไปให้พ้นทางภารจำยอม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องซ้ำ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปความ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อรั้วพิพาทออกไปและกรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิที่มีแต่จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย หรือเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตทั้งมิใช่เรื่องเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ และไม่ใช่ความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอันจะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๘, ๑๓๘๙ ดังอุทธรณ์ของจำเลย พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางภารจำยอมซึ่งพิพาทกันในคดีก่อน ก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่จะออกไปสู่ทางหลวงและลำน้ำเจ้าพระยามิใช่เพื่อประโยชน์ของโจทก์แต่ภายในประตูบ้านและรั้วพิพาท ฉะนั้นรั้วพิพาทที่อยู่ทางตะวันออกของทางภารจำยอมจึงปิดกั้นกีดขวางทางภารจำยอมมิให้ออกไปสู่ถนนใหญ่ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงของโจทก์กับนางอ่อนที่ได้แลกเปลี่ยนที่ดินกัน โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วพิพาทออกไป เป็นการใช้สิทธิของโจทก์โดยสุจริต
ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์กับบริวารจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะเข้าออกในทางภารจำยอมจึงฟ้องจำเลยให้รื้อรั้วพิพาท เป็นการใช้สิทธิของโจทก์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ตามปกติธรรมดาไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ เรียกไม่ได้ว่าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป และไม่ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ดังฎีกาของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน