คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1092/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้นต้องทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ เพียงแต่บุคคลภายนอกยื่นหนังสือรับรองชำระหนี้แทนจำเลยต่อโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยมิได้สั่งการอย่างไร เงียบหายไป สัญญาแปลงหนี้ใหม่ยังไม่เกิดขึ้น แม้ต่อมาอีกเกือบ 4 ปีโจทก์จะได้ทวงหนี้ของโจทก์ที่มีต่อจำเลยเอากับบุคคลภายนอกนั้น ก็ไม่ถือว่าโจทก์ได้ยอมรับเอาบุคคลภายนอกนั้นเข้าเป็นลูกหนี้แทนจำเลย เพราะคำเสนอของบุคคลภายนอกต่อโจทก์สิ้นความผูกพันเพราะล่วงเลยเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 355หนังสือทวงหนี้ของโจทก์เป็นแต่คำเสนอใหม่เท่านั้น เมื่อหนี้ใหม่ไม่เกิด หนี้เดิมของจำเลยก็ไม่ระงับไปตามมาตรา 351
เงินมัดจำที่ยังมิได้ชำระให้ เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วจะบังคับให้ส่งให้มิได้เพราะสิ้นความผูกพันตามสัญญาเสียแล้ว เงินมัดจำที่จะรับในกรณีเลิกสัญญาโดยความผิดของฝ่ายวางมัดจำนั้น ต้องได้ให้ไว้แล้ว
เมื่อจำเลยส่งมอบการงานให้โจทก์ไม่ทันตามกำหนดในสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเท่าจำนวนค่าปรับที่จำเลยสัญญาจะชดใช้ในการที่ชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนดได้ เพราะค่าปรับเป็นค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว(อ้างฎีกาที่ 1078/2496 และ 1364/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้จ้างเหมาจำเลยก่อสร้างตึกตามสัญญาที่ 34/2496 และที่ 5/2497 แต่จำเลยผิดสัญญาทั้งสองฉบับ จึงขอให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยจะต้องวางมัดจำเบี้ยปรับตามสัญญา และเงินจ่ายล่วงหน้า เป็นเงิน 972,267.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่ง นับตั้งแต่วันฟ้อง

จำเลยรับว่า ได้ทำสัญญากับโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นนิติกรรมอำพรางปฏิเสธความรับผิด และว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่โดยบริษัทนาวีพานิชจำกัดรับสภาพหนี้เป็นลูกหนี้ต่อโจทก์โดยตรงแทนจำเลยแล้ว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่และหนี้เดิมระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นอันระงับไป พิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทนาวีพานิชจำกัด ได้ยื่นหนังสือรับรองชำระหนี้แทนจำเลยซึ่งเป็นเพียงคำเสนอ แต่โจทก์มิได้สั่งอย่างไร เงียบหายไป จึงแสดงว่าไม่มีคำสนองจากโจทก์ สัญญาแปลงหนี้ใหม่จึงยังไม่เกิดขึ้น แม้ต่อมาอีกเกือบ 4 ปี โจทก์จะได้ทวงหนี้รายนี้จากผู้ชำระบัญชีของบริษัทนาวีพานิชจำกัด ก็ไม่ถือว่าเป็นการที่โจทก์ยอมรับเอาบริษัทนาวีพานิชจำกัดเข้าเป็นลูกหนี้แทนจำเลยเพราะคำเสนอของบริษัทนาวีพานิช จำกัด สิ้นความผูกพันเพราะล่วงเลยเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 355 หนังสือทวงหนี้ของโจทก์เป็นแต่คำเสนอใหม่เท่านั้น ซึ่งบริษัทนาวีพานิช จำกัด ก็มิได้สนองรับเมื่อหนี้ใหม่ไม่เกิด หนี้เดิมของจำเลยก็ไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 351

เงินมัดจำที่จำเลยยังมิได้ชำระให้โจทก์นั้น เมื่อโจทก์เลิกสัญญากับจำเลยแล้วโจทก์จะบังคับให้จำเลยส่งให้มิได้ เพราะสิ้นความผูกพันเสียแล้ว เงินมัดจำที่จะรับในกรณีเลิกสัญญาโดยความผิดของฝ่ายวางมัดจำนั้น ต้องได้ให้ไว้แล้ว

เมื่อจำเลยส่งมอบงานให้โจทก์ไม่ทันตามกำหนดเวลาในสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายเท่าจำนวนค่าปรับที่จำเลยสัญญาจะชดใช้ในการที่ชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนดได้ เพราะค่าปรับนี้ก็เป็นค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว (อ้างฎีกาที่1078/2496 และ 1364/2503)

พิพากษากลับให้จำเลยใช้เงิน 766,700 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จให้โจทก์

Share