คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10884/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ผู้เอาประกันภัยเป็นโจทก์ที่ 3 ฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนที่เกินจากที่โจทก์คดีนี้ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ทั้งโจทก์คดีนี้มิใช่คู่ความในคดีก่อน จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
ฎีกาของจำเลยที่ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์ว่า รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายเล็กน้อย ความเสียหายเกิดจากรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีการติดตั้งระบบแก๊สที่ผิดกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีว่า ความเสียหายเกิดจากรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีการติดตั้งระบบแก๊สที่ผิดกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย การที่จำเลยกลับมาอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1,039,042 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,013,700 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 563,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 กันยายน 2555 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 25,342 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะส่วนที่ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กันยายน 2555 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 25,342 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 229/2557 ระหว่าง นายอุเทน ที่ 1 นางสาวชลธิชา ที่ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด อนันตกิจบริการ ที่ 3 โจทก์ นายนิพนธ์ (จำเลยในคดีนี้) จำเลย ของศาลชั้นต้นเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 229/2557 ซึ่งเป็นมูลเหตุเดียวกัน คดีดังกล่าวมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่ารถยนต์จำนวน 50,000 บาท และค่าซ่อมแซม5,500 บาท ตามสำเนาคำพิพากษา คำพิพากษาคดีนี้จึงซ้อนกับคำพิพากษาคดีดังกล่าวต้องห้ามตามกฎหมาย จึงเป็นการอุทธรณ์ทำนองว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัย ทั้งจำเลยได้ระบุถึงคำพิพากษาคดีดังกล่าวพอที่จะเข้าใจได้ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยในข้อนี้ว่าจำเลยไม่ได้กล่าวในอุทธรณ์ว่าคดีก่อนมีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรและคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไร มีประเด็นข้อพิพาทเหมือนกันอย่างใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า คดีก่อนห้างหุ้นส่วนจำกัด อนันตกิจบริการ ผู้เอาประกันภัยเป็นโจทก์ที่ 3 บรรยายฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนที่เกินจากที่โจทก์คดีนี้ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ทั้งโจทก์คดีนี้มิใช่คู่ความในคดีก่อน จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปมีว่า นายอุเทนผู้ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีส่วนประมาทหรือไม่ เห็นว่า เหตุคดีนี้เกิดจากจำเลยเปลี่ยนช่องเดินรถมาทางด้านซ้ายซึ่งเป็นช่องเดินรถของนายอุเทน โดยโจทก์นำสืบว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะที่ฝนตก ทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ดี และเมื่อมีต้นไม้ล้มกีดขวางช่องเดินรถอยู่ จำเลยจึงเปลี่ยนช่องเดินรถมาจากช่องเดินรถด้านขวามาซ้ายอย่างกะทันหัน ส่วนจำเลยเบิกความอ้างว่า จำเลยมองกระจกข้างแล้วไม่เห็นรถตามมาจึงขับเปลี่ยนช่องเดินรถไปด้านซ้ายแต่ปรากฏว่าเฉี่ยวชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยจำเลยมิได้เบิกความว่านายอุเทนขับรถมาด้วยความเร็วสูง ทั้งจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า หากหน้ารถที่นายอุเทนขับอยู่บริเวณกึ่งกลางของจำเลยไม่แน่ใจว่าจะเห็นรถที่นายอุเทนขับมาหรือไม่ อันเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยเปลี่ยนช่องเดินรถด้านขวาไปเข้าช่องเดินรถด้านซ้ายหลบต้นไม้โดยไม่ดูว่ามีรถอยู่ด้านนั้นหรือไม่ ดังนี้จึงฟังไม่ได้ว่านายอุเทนผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยมีส่วนประมาท ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์ว่า รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายเล็กน้อย ความเสียหายเกิดจากรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีการติดตั้งระบบแก๊สที่ผิดกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า ความเสียหายเกิดจากรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีการติดตั้งระบบแก๊สที่ผิดกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย การที่จำเลยกลับมาอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์รับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียงใด เห็นว่า โจทก์มีนายมนต์ชัย ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยพลิกคว่ำเกิดเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายทั้งคันตามภาพถ่าย จำเลยไม่นำสืบปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่ารถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีสภาพพังยับเยินยากแก่การที่จะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีได้ การที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้รับประโยชน์เต็มจำนวนตามสัญญาประกันภัยเป็นเงิน 1,000,000 บาท แล้วรับเอาซากรถยนต์มา ฟังได้ว่าเป็นการชดใช้ค่าเสียหายที่เหมาะสมและสมควรแล้ว อย่างไรก็ตามแม้โจทก์ไม่นำสืบว่าขายซากรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคาเท่าใด แต่โจทก์อ้างส่งใบเสร็จรับเงินของผู้รับประโยชน์ ระบุว่าเงินที่รับเป็นค่าซากรถจำนวน 200,000 บาท และตามใบรายการอนุมัติสินไหมทดแทน ระบุว่าเงินที่จ่ายเป็นค่าโอนซากรถด้วย จึงฟังได้ว่าซากรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยมีราคา 200,000 บาท และโจทก์ได้รับซากรถมาแล้ว ดังนั้นค่าสินไหมทดแทนที่ถูกต้องของโจทก์ที่จะเรียกร้องได้ จึงต้องนำราคาซากรถยนต์มาหักออกจากค่าสินไหมทดแทนจำนวน 1,000,000 บาทด้วย จึงเหลือเงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์รับช่วงสิทธิมาเรียกจากจำเลยได้ 800,000 บาท เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยรับผิดเป็นเงิน 1,000,000 บาท ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กันยายน 2555 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม 2556) ต้องไม่เกิน 25,342 บาท นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share