แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ในที่ดินโฉนดที่ 530 ให้จำเลย ต่อมาจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงเป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้ศาลสั่งถอนคืนการ+ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ขายให้ และไม่ได้ประพฤติเนรคุณทางพิจารณาฟังเป็นยุติได้ว่าเป็นเรื่องโจทก์ยกให้มิใช่ขาย และได้ความต่อไปว่า เมื่อบิดาโจทก์จำเลยซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมในโฉนดดังกล่าวตายลง โจทก์ยื่นขอรับมรดกส่วนของบิดา จำเลยคัดค้านและฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่ง ศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งมรดกของบิดาให้โจทก์คดีอยู่ระหว่างฎีกา โจทก์ให้คนมาเก็บหมากในที่พิพาทนั้น จำเลยจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ว่าโจทก์ลักหมาก แต่ชั้นนี้ไม่ติดใจเอาเรื่องเพราะโจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน หมากที่หายราคาเล็กน้อย กับหลักฐานยังไม่เป็นผิด แต่ถ้าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก จะเอาเรื่องให้ตำรวจจัดการต่อไป ต่อมาโจทก์ให้คนมาเก็บหมากอีก จำเลยจึงให้สามีไปแจ้งความ ครั้งสุดท้ายโจทก์ให้คนมาเก็บหมากอีกจำเลยจึงแจ้งตำรวจตู้ยามจับโจทก์หาว่าลักหมาก 1 ทะลาย ตำรวจจึงควบคุมตัวโจทก์ไว้เพื่อดำเนินคดี ดังนี้ถือได้ว่า จำเลยได้ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 351(2)
เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์พิพากษาให้ถอนคืนการใช้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ในที่ดินโฉนดที่ ๕๐๐ ให้จำเลย ต่อมาจำเลยและสามีได้สมคบกันแจ้งความต่อตำรวจหาว่าโจทก์ลักหมากในที่ดินดังกล่าว เจ้าพนักงานได้จับกุมคุมขังโจทก์ในข้อหานั้น เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงและเป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้ศาลสั่งถอนคืนการให้
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายให้และที่สามีจำเลยแจ้งตำรวจนั้น จำเลยมีเจตนาเพียงจะยุติการที่โจทก์บุกรุกเข้าไปเอาผลอาศัยโดยพละการ หามีเจตนาให้โจทก์ถูกลงโทษทางอาญาไม่ จำเลยมีความชอบธรรมที่จะกระทำเพื่อรักษาทรัพย์สินของจำเลยได้ และไม่ใช่ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนคืนการให้ที่ดินเฉพาะส่วนตามโฉนดที่ ๕๓๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ยกที่พิพาทส่วนของโจทก์ในโฉนดที่ ๕๓๐ ให้จำเลย มิใช่ขาย จำเลยมิได้อุทธรณ์ข้อนี้ ดังนั้น ความข้อนี้จึงฟังเป็นยุติตามนั้น
แม้โจทก์จะได้ยกที่พิพาทสวนของโจทก์ให้จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อ ม.ร.ว.แจ้ว ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ ๕๓๐ ส่วนหนี่งและเป็นบิดาของโจทก์จำเลยได้ตายลงย่อมมีผลให้โจทก์ผู้เป็นบุตรคนหนึ่งได้รับมรดกส่วนของบิดาในที่ดินโฉนดที่ ๕๓๐ ด้วยตามกฎหมาย แม้จำเลยจะได้คัดค้านถึงกับฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งมิให้โจทก์ได้รับมรดกของบิดาดังกล่าว ศาลแพ่งกับศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ได้รับมรดกด้วยส่วนหนึ่ง ผลของคำพิพากษาถือว่าผูกพันคู่ความ ดังนัน การที่โจทก์เข้าเก็บหมากในที่ดินโฉนดที่ ๕๓๐ ไม่ว่าจะมีผู้ใดห้ามหรือไม่ก็แสดงว่าโจทก์เข้าเก็บโดยสุจริต เพราะโจทก์เชื่อว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย การที่จำเลยกับสามีห้ามโจทก์มิให้เข้าเก็บ แม้เพียงหมายราคาเล็กน้อยในที่ดินโฉนดที่ ๕๓๐ ซึ่งโจทก์เป็นผู้ให้ที่ดินในโฉนดนี้แก่จำเลยเป็นเนื้อที่ตามคำให้การจำเลยถึง ๓งาน ๗๔ ตารางวา เช่นนี้ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยมีความกตัญญูกตเวทีต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่ และเมื่อจำเลยกับสามีได้แจ้งความต่อตำรวจหาว่าโจทก์ลักหมากปรากฎในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๐๓ จำเลยเองก็รู้อยู่ว่าตามหลักฐานโจทก์ยังไม่เป็นผิด แต่จำเลยก็ได้ตั้งเจตนาไว้ในรายงาน ๆ นั้นว่า
ถ้าโจทก์มาเก็บหมากอีกก็จะเอาเรื่องให้ตำรวจจัดการต่อไป และในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๓ จำเลยก็ไปแจ้งความต่อตำรวจตู้ยามหาว่าโจทก์ลักหมาก และมอบให้สามีไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เป็นผลให้โจทก์ถูกควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินคดีต่อไปสมตามจ่ำเลยตั้งเจตนาไว้ ดังนั้น ที่จำเลยอ้างว่า”หาได้เจตนาจะให้โจทก์ถูกลงโทษทางอาญาไม่” จึงฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๑(๒) เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ และพิพากษาให้ถอนคืนการให้ที่ดิน ฯลฯ จึงมีเหตุสมควร คดีไมจำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นต่อไป
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดที่ ๕๐๐ เฉพาะส่วนที่โจทก์ยกให้จำเลยดังโจทก์ขอ