แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับใน คำพิพากษา คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
ย่อยาว
คดีนี้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินค้าง 2,000 บาทไปจากโจทก์หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท ให้โจทก์และให้จำเลยเสียค่าปรับ 13,000 บาท ให้โจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแต่ส่งไม่ได้จึงปิดคำบังคับไว้ ครบกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ร้องขอให้ยึดทรัพย์จำเลยมาขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ จำเลยยื่นคำร้องว่า ไม่ได้จงใจขาดนัด ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งรับคำให้การ และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่
ต่อมา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งยกเลิกการบังคับคดี และสั่งให้ดำเนินการบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 คือ ให้โจทก์รับโอนที่ดินตามคำพิพากษาก่อนและให้รอการไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วันแล้ว และให้เพิกถอนการบังคับคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่า การดำเนินคดีนี้ของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนกระทั่งมีการบังคับคดีนั้น จำเลยไม่ทราบ เพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น จำเลยเพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกัน จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายในเวลา 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบ อันถือว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1296/2510
ส่วนฎีกาประเด็นข้อ 2 ว่า ศาลจะสั่งเพิกถอนการบังคับคดีได้หรือไม่เห็นว่าในเรื่องนี้ แม้ศาลยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจาณาใหม่ก็จริง แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับในคำพิพากษาคือ ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอน ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก 13,000 บาทแก่โจทก์เช่นนี้ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์หาได้ขอให้ศาลบังคับจำเลยดังกล่าวไม่ โดยโจทก์ขอให้บังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียวและศาลชั้นต้นได้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์ขอ จึงเป็นการปฏิบัติที่มิได้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นที่ ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่ดินนั้นยังเป็นของจำเลยและสามารถโอนให้โจทก์ได้ นับได้ว่าเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษา ซึ่งศาลยอมมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความแพ่ง มาตรา 27 และเรื่องนี้คู่ความคือจำเลยซึ่งเป็นผู้เสียหายก็ได้ยื่นคำขอให้เพิกถอนแล้ว และศาลชั้นต้นได้สั่งเพิกถอนไปแล้ว
พิพากษายืน