แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแรกนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์ของชาวอินเดีย โจทก์เป็นเพียงผู้จัดการดูแลไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ และตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์และจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของกลางคือ ของโรงพระ หาใช่ของโจทก์ไม่ การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 เช่าอาคารพิพาทต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็เป็นการกระทำแทนในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระ หาใช่ให้เช่าในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพิพาทส่วนตัวไม่ แม้ตามคดีแพ่งแดงที่ 161/2508 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในภายหลัง ขอให้ชำระค่าเช่าอาคารพิพาท โจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระ โรงพระมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องแทน แต่เนื่องจากโรงพระไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลมอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนไม่ได้ ศาลชั้นต้นจึงยกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อ้างว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระ ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวเรียกค่าเช่า และขอให้ขับไล่จำเลย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโจทก์และขอเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ศาลพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารพิพาท ให้ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระตกลงยอมให้จำเลยเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมนี้เป็นสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ก็ต้องฟ้องขอให้จำเลยชำระ จะไปร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างทันทีไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอม และศาลพิพากษาตามยอม ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง และค่าเช่าเดือนต่อๆ ไปให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าชาวอินเดียผู้นับถือศาสนาฮินดูเรี่ยรายเงินเพื่อซื้อที่ดินและสร้างที่ประกอบพิธีทางศาสนา ชื่อว่า “โรงพระเทนดายูด้าปานีสวามี” ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๑๒๓๙ ใส่ชื่อบิดาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนส่วนรวม ต่อมานายสุภาศิตัมรับแต่งตั้งจากที่ประชุมชาวฮินดู ให้เป็นกรรมการผู้จัดการของโรงพระรวมทั้งที่ดินดังกล่าว นายสุภาลิตัมตกลงให้โจทก์ออกเงินสร้างอาคาร โจทก์ออกเงินสร้าง ๓๐,๐๐๐ บาทเศษ แล้วมอบให้นายสุภาลิตัมเป็นตัวแทนตกลงให้บุคคลภายนอกเช่า นายสุภาลิตัมให้จำเลยที่ ๑ เช่า ค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ บาท และห้ามให้เช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๐๓ ๕ ปีเศษ โจทก์ติดเพียง ๕ ปี ๑๒,๐๐๐ บาท โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากอาคารที่ ๓๙/๑ ซึ่งเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ กับโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าอาคารที่ ๓๙/๑ เป็นของโจทก์และขอเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ บาท ศาลพิพากษาตามยอม ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๓๕/๒๕๐๘ ของศาลจังหวัด ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเช่าและให้จำเลยที่ ๒ เช่าช่วงโดยไม่มีอำนาจ
ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกจากอาคารเลขที่ ๓๙/๑ ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าที่ค้าง ๑๒,๐๐๐ บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ ๔๐๐ บาท ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๒๓๙ เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของบิดาจำเลยที่ ๑ ได้อุทิศให้โรงพระเมื่อ ๕๐ ปีเศษมาแล้ว แต่ล่วงเลยมานานก็ยังไม่มีการสร้างโรงพระ จึงบอกเลิกการยกให้ และเข้าครอบครอง นายสุภาลิตัมไม่ได้ตกลงให้โจทก์ปลูกสร้าง ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ ๑๓๕/๒๕๐๘ จำเลยที่ ๑ มิได้ยอมรับว่าอาคารเลขที่ ๓๙/๑ เป็นของโจทก์ เมื่อทำสัญญายอมแล้ว จำเลยค้างชำระค่าเช่า ๒ เดือน โจทก์คดีนี้อ้างว่ารับมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๑/๒๕๐๘ หาว่าจำเลยค้างค่าเช่า ศาลยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เช่าอาคารจากบิดาจำเลยที่ ๑ เมื่อบิดาจำเลยที่ ๑ ตาย ก็เช่าจากจำเลยที่ ๑ ที่ดินและอาคารพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๓๕/๒๕๐๘ ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีแรกนั้น ตามฟ้องของโจทก์ก็บรรยายข้อเท็จจริงว่า อาคารพิพาทเลขที่ ๓๙/๑ เป็นทรัพย์สมบัติของชาวอินเดียส่วนรวม อันมีชื่อว่า “โรงพระเทพดายูด้าปานี สวามี” โจทก์เป็นเพียงผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทสืบแทนนายสุภาสิตันบารามเจ๊ะตีเท่านั้น โจทก์หาได้กล่าวอ้างว่าอาคารพิพาทเป็นของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินก่อสร้างไม่ และตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของกลาง คือ เป็นของโรงพระเทนตายูด้าฯ หาใช่เป็นของโจทก์ไม่ การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ เช่าอาคารพิพาทต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๒ ก็เป็นการกระทำแทนในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของพระเทนดายูด้าฯ หาใช่ให้เช่าในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพิพาทเป็นส่วนตัวไม่ แม้ตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๑/๒๕๐๘ ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในภายหลัง ขอให้ชำระค่าอาคารพิพาท ๑๒,๐๐๐ บาท ที่ค้างชำระอยู่ ๕ ปี โจทก์ก็ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระเทนดายูด้าและโรงพระเทนดายูด้ามอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีแทน แต่เนื่องจากโรงพระเทนดายูด้าไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนไม่ได้ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อ้างว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ โจกท์ออกเงินก่อสร้างขึ้นเองเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ฝ่าฝืนต่อสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ ๑๓๕/๒๕๐๘ ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเลขที่ ๓๙/๑ เป็นของโรงพระเทนดายูด้าหาใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ไม่ ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวเรียกค่าเช่า ๑๒,๐๐๐ บาทที่ค้างชำระ และขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอาคารพิพาทตามคดีนี้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยสำหรับค่าเช่าระยะที่ ๒ หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งเลขแดงที่ ๑๖๑/๒๕๐๘ (ที่ถูกเป็นคดีแพ่งเลขแดงที่ ๑๓๕/๒๕๐๘) และโจทก์ขอให้จำเลยชำระแต่วันฟ้องคดีนี้ ว่าเป็นเรื่องโจทก์จะต้องไปร้องขอให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาตามยอม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเช่าตามสัญญายอมความอีกไม่ได้ เพราะเป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา ๑๔๘ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้จัดการดูและอาคารพิพาทเลขที่ ๓๙/๑ ของโรงพระเทนดายูด้าตกลงยอมให้จำเลยที่ ๑ เช่าอาคารพิพาทต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ บาท ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมนี้เป็นสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ก็ต้องฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระ จะไปร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าที่ค้างทันทีไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องโจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมและศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเช่าเดือนต่อๆ ไปให้แก่โจทก์ หากแต่ว่าโจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องมาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งเลขแดงที่ ๑๓๕/๒๕๐๘ กลับอ้างว่าอาคารพิพาทเลขที่ ๓๙/๑ เป็นของโจทก์เสียเอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน