คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากธนาคารแทนโจทก์โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันต่อมาจำเลยร่วมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนโจทก์แต่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วมจำเลยร่วมตกลงโอนหนี้ให้แก่จำเลยโจทก์ตกลงด้วยและจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวด้วยใจสมัครเพื่อประกันหนี้จำเลยที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้เป็นการตกลงทำสัญญาจำนองผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยตรงโดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยก่อนแล้วการทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ที่จะต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งจะต้องมีการทำเป็นหนังสือแยกต่างหาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายจรัญ ปัญญากร บิดาจำเลยกู้เงินจากธนาคารจำนวน 350,000 บาท โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดิน น.ส.3 ก.เป็นประกัน ต่อมาโจทก์ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองโดยนายจรัญชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร แล้วจำเลยหลอกลวงโจทก์ให้เซ็นชื่อจำนองที่ดินดังกล่าวจำเลยความจริงโจทก์ไม่ได้รับเงินและไม่ได้เป็นหนี้จำเลยตามสัญญาจำนอง ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินน.ส.3 ก. ระหว่างโจทก์กับจำเลย
จำเลยให้การว่า การที่นายจรัญกู้ยืมเงินจากธนาคารโดยโจทก์จำนองที่ดินเป็นประกัน เป็นการกู้ยืมเงินแทนโจทก์ นายจรัญได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารโจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่นายจรัญ เมื่อคำนวณรวมกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระแล้วโจทก์เป็นหนี้นายจรัญรวม 98,800 บาท นายจรัญได้ยกหนี้ดังกล่าวให้แก่จำเลย และโจทก์ตกลงจะชำระหนี้ให้แก่จำเลยภายในกำหนด 2 ปีกับจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทของโจทก์ให้เป็นประกันแก่จำเลยโดยให้ถือเอาหนังสือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอให้เรียกนายจรัญ ปัญญากร เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากธนาคารแทนโจทก์ต่อมาจำเลยร่วมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนโจทก์ แต่โจทก์ยังไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วม เมื่อคำนวณรวมกับดอกเบี้ยแล้วโจทก์เป็นหนี้จำเลยร่วมรวม 98,800 บาท จำเลยร่วมยกหนี้ดังกล่าวให้แก่จำเลยด้วย ความยินยอมของโจทก์ และโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้เป็นประกันหนี้แก่จำเลยโดยให้ถือเอาหนังสือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ระหว่างโจทก์กับจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่จำเลยร่วมโอนหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยร่วมให้จำเลยเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และจะต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องหรือไม่ ปรากฎว่า เดิมจำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 35,000 บาท แทนโจทก์โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกัน ต่อมาจำเลยร่วมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนโจทก์เป็นเงิน 98,800 บาท แต่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วม จำเลยร่วมได้โอนหนี้ดังกล่าวให้แก่จำเลยโจทก์ตกลงด้วยและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้แก่จำเลยแต่การโอนหนี้ระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยไม่ได้ทำเป็นหนังสือดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วม จำเลยร่วมได้โอนหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดต่อตนนั้นให้แก่จำเลย โจทก์ตกลงด้วยและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยสมัครใจเพื่อประกันหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้เป็นการตกลงทำสัญญาจำนองผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยตรงโดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยก่อนแล้ว การทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องที่ต้องมีการทำเป็นหนังสือต่างหากดังที่โจทก์ฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share