คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพฤติการณ์ในคดีฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 นั้นมิได้มีเจตนาที่จะเอาเสื้อของผู้เสียหายไปเป็นของตนเองอันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป แต่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ด้วยความคะนองตามวิสัยวัยรุ่นที่ความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่เป็นการมุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์นั้น จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาลักทรัพย์อันจะทำให้จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานชิงทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 1ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำการดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แต่การที่จำเลยที่ 1 พูดในลักษณะที่เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายว่าถ้าไม่ให้เสื้อจำเลยที่ 2 จะเจ็บตัวจนผู้เสียหายยอมให้เสื้อไปนั้นเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายต้องจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเชื้อชุดฝึกงาน 1 ตัวของผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันขู่เข็ญผู้เสียหายว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหากขัดขืนเพื่อให้ ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ ฯลฯ โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์ ขณะอยู่ในรถยนต์โดยสารประจำทางอันเป็นยวดยานสาธารณะ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339 และคืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 339 วรรคสอง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปีคำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ขณะที่ผู้เสียหายอยู่บนรถโดยสารประจำทาง จำเลยทั้งสองก็อยู่บนรถโดยสารประจำทาง จำเลยที่ 2พูดขอเสื้อฝึกงานที่ผู้เสียหายพาดบ่าอยู่ ผู้เสียหายดึงเสื้อไว้ไม่ให้ไป จำเลยที่ 1 ก็พูดว่า ถ้าไม่ให้มึงเจ็บผู้เสียหายจึงปล่อยเสื้อให้จำเลยที่ 2 ไปเมื่อรถโดยสารประจำทางจอดป้ายถัดไป จำเลยทั้งสองลงจากรถโดยสารประจำทางเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่ม ผู้เสียหายเดินตามเข้าไปเพื่อขอเสื้อคืน จำเลยทั้งสองเดินออกจากร้านขายเครื่องดื่มมีลักษณะอาการชิงชัง ผู้เสียหายจึงไปหาบ๋อย โรงแรมเวกัส จำเลยทั้งสองเข้าไปที่โต๊ะสนุกเกอร์ในโรงแรมเวกัส บ๋อย โรงแรมโทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานตำรวจมาที่โรงแรม จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเจ้าพนักงานตำรวจที่มาเป็นพวกของผู้เสียหายจึงหยิบไม้ท่อนขึ้นมาจะตีผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองได้ และฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายเป็นนักเรียน จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ก็เป็นนักเรียนซึ่งเป็นวัยรุ่น ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 อยู่ในอาการมึนเมา เมื่อจำเลยที่ 2 เอาเสื้อชุดฝึกงานของผู้เสียหายที่พาดบ่าไปแล้ว ได้ลงจากรถโดยสารประจำทางที่ป้ายถัดไป เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่ม แล้วเดินออกมาพบผู้เสียหายผู้เสียหายไปอยู่กับพนักงานโรงแรมเวกัส จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ก็ยังตามไปโรงแรมเวกัส ที่ผู้เสียหายเข้าไปโดยจำเลยทั้งสองอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ในโรงแรมเวกัส ตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะมาจับกุมนั้นเสื้อชุดฝึกงานของผู้เสียหายพาดอยู่ที่บ่าซ้ายของจำเลยที่ 2พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่แสดงต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นนักเรียนต่างโรงเรียนกันในขณะที่มีอาการมึนเมาโดยเอาเสื้อที่พาดบ่าผู้เสียหายไป เมื่อลงจากรถไปแล้วก็มิได้มีกิริยาที่จะหลบหนีหรือพาไปให้พ้นทั้งยังตามไปโรงแรมที่ผู้เสียหายเข้าไป โดยเสื้อผ้าที่เอาไปก็ยังพาดบ่าจำเลยที่ 2 อยู่นั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นวัยรุ่นเช่นกัน เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาที่จะเอาไปเป็นของตนเอง อันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไปแต่เป็นที่เห็นได้ว่าที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำไปเช่นนั้นเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ทำไปด้วยความคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายเห็นว่าเป็นคนเก่งพอที่จะรังแกคนได้ตามวิสัยวัยรุ่นที่ความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่เป็นการมุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์นั้นแต่ประการใด ทั้งตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1นั้นก็ได้ความว่าจำเลยที่ 2 เอาเสื้อมาเพื่อจะแกล้งล้อเล่น ถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาลักทรัพย์ การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำการดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่การที่จำเลยที่ 1 พูดในลักษณะที่เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายว่าถ้าไม่ให้เสือจำเลยที่ 2 จะเจ็บตัวจนผู้เสียหายยอมให้เสื้อไปนั้น เป็นการขู่ขืนในให้ผู้เสียหายต้องจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย อันเป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งความผิดดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 1 ปี.

Share