แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ค้นจำเลยกับพวกขณะยืนซุบซิบกันที่หลังสถานีรถไฟ โดยผู้ค้นเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ได้ติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์หนีข้ามท้องที่มา และได้ร่วมกับตำรวจในท้องที่ทำการติดตามและมีเหตุสงสัยอันควรที่จะทำการค้น คือสงสัยว่าจะมีอาวุธปืนและของผิดกฎหมาย เช่นนี้ ทำการค้นจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีหมายค้น
การที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องอ้างมาตราที่ลงโทษผู้ที่กระทำผิดต่อบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานมาด้วยนั้น หาทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 บังอาจต่อสู้ขัดขวางและชกต่อยจ่าสิบตำรวจโอภาศ ขณะปฏิบัติหน้าที่ และร่วมกับจำเลยที่ 2 ต่อสู้ขัดขวางร้อยตำรวจโทพัฒน์ไม่ยอมให้จับจำเลยที่ 1 แล้วร่วมกันใช้กำลังชกต่อยและใช้มีดแทงร้อยตำรวจโทพัฒน์ในขณะกำลังทำการจับกุมจำเลยที่ 1 ถูกที่ท้องทะลุเข้าข้างในบาดเจ็บสาหัส โดยเจตนาฆ่าแต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะแพทย์รักษาไว้ทัน ร้อยตำรวจโทพัฒน์จึงไม่ตาย และฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้น 1 กระบอกไม่มีทะเบียนและกระสุนปืนไว้ในครอบครอง ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1รับข้อหามีอาวุธปืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหามีอาวุธปืนข้อหาอื่นยก ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานผู้ทำการตามหน้าที่ ตามมาตรา 138, 140, 288, 289, 80แห่งประมวลกฎหมายอาญา ลงโทษบทหนักตามมาตรา 289, 80 จำคุก 16 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์นำสืบว่า ร้อยตำรวจโทพัฒน์และจ่าสิบตำรวจโอภาศติดตามจับคนร้ายซึ่งหลบหนี้เข้ามาในท้องที่อำเภอห้วยแถลง ได้เห็นจำเลยทั้งสองกับนายประกอบยืนพูดซุบซิบกันที่หลังสถานีรถไฟเป็นพิรุธ จึงบอกตำแหน่งแล้วขอค้น จ่าสิบตำรวจโอภาศแสดงตัวเป็นตำรวจแล้วขอดูกระเป๋าซิบจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 แย่งกระเป๋าคืนและชกถูกหน้าจ่าสิบตำรวจโอภาศแล้ววิ่งหนี ร้อยตำรวจโทพัฒน์วิ่งไล่ตามจับจำเลยที่ 1 ถูกจำเลยที่ 2 ใช้มีดแทง ฯลฯซึ่งศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำร้ายต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งทำการตามหน้าที่ตามที่โจทก์ฟ้อง และในข้อที่จำเลยที่ 2 อ้างในฎีกาว่า ร้อยตำรวจโทพัฒน์กับพวกไม่มีอำนาจจะทำการค้นตัวจำเลยนั้นข้อนี้ปรากฏว่าผู้ค้นเป็นเจ้าพนักงานตำรวจติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์หนีข้ามท้องที่มา และได้ร่วมกับตำรวจท้องที่ทำการติดตาม และมีเหตุสงสัยอันควรที่จะทำการค้น คือ สงสัยว่าจะมีอาวุธปืนและของผิดกฎหมายจึงทำการค้นจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีหมายค้น และเห็นว่าการที่โจทก์มีคำขอมาในท้ายฟ้องอ้างมาตราที่ลงโทษผู้ที่กระทำผิดต่อบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานมาด้วยนั้น หาทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
พิพากษายืน