แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งมีข้อความว่า หากพยานคนกลางชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของผู้ใดแล้ว ก็ให้ผู้นั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ดังนี้ จึงเป็นข้อตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อพยานคนกลางชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นจำเลย โดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ย่อมทำให้จำเลยได้สิทธิเป็นเจ้าของพิพาท โจทก์จึงจะฟ้องขอให้พิพากษาให้ที่พิพาทนั้นเป็นของโจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนยื่นฟ้องใจความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโดยได้แจ้งการครอบครองต่ออำเภอท้องที่ และครอบครองที่ดินตลอดมา เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๐๗ จำเลยยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและทำนิติกรรมยกที่ดินให้บุตรแล้วจำเลยได้นำเจ้าพนักงานรังวัดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ในสำนวนแรกกว้าง ๒ เส้น ๑๙ วา ยาว ๓ เส้น รวมเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ราคา ๕,๐๐๐ บาท และรุกล้ำที่ดินโจทก์ในสำนวนที่สองกว้าง ๑ เส้น ยาว ๓ เส้น เนื้อที่ ๓ ไร่ ราคา ๑,๕๐๐ บาท โจทก์ร้องคัดค้านทางอำเภอเปรียบเทียบไม่ตกลงกัน ทางอำเภอสั่งให้โจทก์ฟ้อง จึงขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่าที่ดินที่พิพาทและที่ดินที่พิพาทเป็นของจำเลย โดยจำเลยได้ครอบครองมา ๒๓ ปีแล้ว เมื่อโจทก์ทั้งสองสำนวนร้องคัดค้านว่าจำเลยนำรังวัดรุกล้ำที่โจทก์ เจ้าหน้าที่อำเภอเรียกโจทก์จำเลยมาทำการเปรียบเทียบได้ตกลงกันตั้งนายมืด จันทร์ชู กำนันตำบลที่พิพาทเป็นพยานคนกลาง หากนายมือเบิกความว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด อีกฝ่ายยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายนั้น นายมืดเบิกความต่อหน้าโจทก์จำเลยและกรรมการอำเภอที่พิพาทเป็นของจำเลย ที่พิพาทจึงเป็นของจำเลยตามข้อตกลง และกรมการอำเภอก็เปรียบเทียบให้เป็นไปตามข้อตกลงแล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องอีกจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงประนีประนอมกันและอำเภอชี้ขาดไปตามคำเบิกความของนายมือพยานคนกลางแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม เมื่อโจทก์เห็นว่าข้อตกลงเพื่อประนีประนอมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ชอบที่ฟ้องขอให้เพิกถอน ไม่ใช่ตั้งรูปคดีเป็นประเด็นขึ้นใหม่ พิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทของแต่ละคนตลอดมา หลักฐานการเปรียบเทียบชั้นอำเภอไม่ใช่ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ปลัดอำเภอเป็นผู้จดบันทึกการประนีประนอมเอาเอง พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ที่พิพาทแปลงเหนือตามแผนที่กลางนายด้วงโจทก์สำนวนที่สองเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ส่วนแปลงใต้ตามแผนที่กลางนายเมฆโจทก์สำนวนแรกเป็นผู้มีสิทธิครอบครองห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์จำเลยสมัครใจให้นายมืดเป็นพยานคนกลาง ชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด ครั้นต่อมานายมือชี้ขาดเป็นประโยชน์แก่จำเลย โจทก์จึงโต้แย้งว่าไม่ได้ตกลงเช่นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกข้อตกลงที่ทำที่ที่ว่าการอำเภอซึ่งมีความว่า “วันนี้ ได้เรียกนายด้วง คงใหม่ นางเมฆ ชูดา และนายรื่น ทองนวล คู่พิพาทมาทำการเปรียบเทียบเรื่องคัดค้านการขอทำประโยชน์ของนายรื่น ทองนวล แล้วคู่พิพาทตกลงยินยอมตั้งนายมืด จันทร์ชู กำนันตำบลทะเลน้อยเป็นพยานกลาง หากนายมืดเบิกความเข้าข้างผู้ใด ให้ผู้นั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทนี้ จึงพร้อมกันลงชื่อให้ไว้เป็นสำคัญ” นั้น เป็นข้อตกลงซึ่งโจทก์จำเลยต่างยอมรับว่า หากนายมืดชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของผู้ใดแล้ว ก็ให้ผู้นั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นข้อตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้การเรียกร้องอ้างสิทธิในที่พิพาทของโจทก์ระงับสิ้นไป ทำให้จำเลยได้สิทธิเป็นเจ้าของที่พิพาทตามมาตรา ๘๔๒ โดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์จึงจะฟ้องขอให้พิพากษาให้ที่พิพาทนั้นเป็นของโจทก์ไม่ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น