คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การวินิจฉัยว่ามีเจตนาฆ่าหรือไม่นั้น ต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยอาวุธที่ใช้ บาดแผลที่ผู้ตายได้รับ ตลอดถึงพฤติการณ์อื่น ประกอบกัน ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจำเลยที่ 1 มีโอกาสเลือกแทงที่สำคัญได้ แต่ได้แทงผู้ตายที่แขนเพียงทีเดียวแล้วเลยไปมิได้ซ้ำเติม หากแต่ด้วยความแรงเป็นเหตุให้คมมีดตัดเส้นโลหิตใหญ่ทะลุเข้าชายโครงถึงแก่ความตายเพราะโลหิตออกมาก ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นถึงตายโดยไม่เจตนา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑, ๒, ๓ ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ ๔, ๕, ๖ และนายผลสรรพานิช ฝ่ายหนึ่งได้สมัครใจต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บและถึงตาย ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๑ ด้วยเจตนาฆ่า ได้ใช้มีดแทงนายผลจนถึงแก่ความตาย และจำเลยที่ ๔ และ ๕ ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ ๒ ใช้มีดแทงทำร้ายจำเลยที่ ๔, ๖ และนายเล็ก อ่วมเกตุ ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ ๔ ใช้อาวุธปืนยิง จำเลยที่ ๒ หนึ่งนัดโดยเจตนาฆ่าแต่ไม่บรรลุผล โดยกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะส่วนสำคัญ จำเลยที่ ๕ ใช้มีดแทงจำเลยที่ ๑, ๒ และจำเลยที่ ๖ ใช้ขวานฟันทำร้ายจำเลยที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ ส่วนจำเลยที่ ๓ ได้เช้าร่วมชุลมุนต่อสู้อันเป็นเหตุให้นายผลตาย และจำเลยทั้งหมดได้รับบาดเจ็บขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๔, ๒๙๕, ๘๐, ๘๓ และริบของกลาง
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๕, ๒๙๔, ๘๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนัก โดยให้จำคุกไว้ ๑๕ ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ ลดให้หนึ่งในสามคงจำคุกไว้ ๑๐ ปี ริบของกลาง จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามมาตรา ๒๙๕, ๒๙๔, ๘๓ ให้จำคุก ๑ ปีและจำเลยที่ ๔ ตามมาตรา ๒๙๔ ให้จำคุก ๑๐ เดือน ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๓, ๕ และ ๖
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำร้ายนายผลถึงตายโดยไม่มีเจตนาฆ่า พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐, ๒๙๔ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๐ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดให้จำคุกไว้ ๘ ปี คำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ ๓ ปี คงให้จำคุกไว้ ๕ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยว่ามีเจตนาฆ่าหรือไม่นั้น ต้องพิเคราะห์กระทำของจำเลย อาวุธที่ใช้ บาดแผลที่ผู้ตายได้รับ และพฤติการณ์อื่นประกอบกันเพื่อหยั่งถึงเจตนาดังกล่าว ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ แทงด้วยมีดปลายแหลมยาวคืบเศษที่แขนผู้ตายเพียงทีเดียว แล้วเลยไปมิได้ซ้ำเติม ซึ่งจำเลยมีโอกาสเลือกแทงผู้ตายในที่สำคัญได้ การแทงที่แขนตามปกติไม่น่าจะกระทำให้ถึงตาย หากเป็นเพราะจำเลยแทงโดยแรงจนมีดตัดเส้นโลหิตใหญ่ทะลุเข้าชายโครง ถึงแก่ความตายเพราะโลหิตออกมา ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
พิพากษายืน

Share