คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องคดีอาญาที่มิได้บรรยายให้ได้ความชัดว่าจำเลยยักยอกเงินที่พวกโจทก์มอบให้จำเลยไปเสียภาษีเท่าใด คงกล่าวไว้มีใจความสำคัญแต่เพียงจำนวนเงินที่มอบให้จำเลยไป จำนวนที่ต้องเสียภาษีรายเดือน จำนวนเงินเหลือรายเดือน จำนวนที่เหลือนี้ได้ตกลงให้จำเลยเก็บรักษาไว้เสียภาษีปลายปี เมื่อโจทก์ถูกสรรพากรเรียกไปพบหาว่าเสียภาษีไม่ครบจึงทราบว่าจำเลยยักยอกเงินที่มอบไป โดยเสียภาษีไม่ครบเท่านั้น ฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกียวกับทรัพย์หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับข้อหาว่าจำเลยเบียดบังยักยอกไปอันเป็นสารสำคัญ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
โจทก์ได้เห็นและทราบรายการที่ได้กรอกไว้ในแบบ ภ.ค.4 เพื่อชำระภาษีการค้าที่จำเลยนำมาให้โจทก์เซ็นชื่อเป็นผู้ยื่น โจทก์ได้เซ็นชื่อลงไป จึงต้องรับผิดชอบในความถูกต้องแท้จริงของข้อความตลอดจนจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการกระทำของโจทก์เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมว่า วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๕ โจทก์จำเลยได้เข้าร่วมกับพวกรวม ๑๕ คน เข้าทุนกันฆ่าสุกรขาย โดยมีข้อตกลงกันให้ฆ่าสุกรขายวันละ ๑๒ ตัว เว้นวันพระ เดือนละ ๔ ครั้ง คงฆ่าสุกรขาย ๒๖ วันต่อหนึ่งเดือน ซึ่งรวมสุกรที่ฆ่าขายเดือนละ ๓๑๒ ตัว การเสียภาษีในการนี้พวกหุ้นส่วนได้ตกลงกันมอบให้จำเลยซึ่งได้เป็นหัวหน้าไปเสีย โดยหักเงินมอบให้ไปเสียเดือนละ ๖,๐๐๐ บาททางสรรพากรกำหนดราคาสุกรตัวละ ๓๕๐ บาท ผู้ฆ่าขายจะต้องเสียภาษีร้อยละห้าบาทของราคาสุกรที่กำหนดไว้ ซึ่งเดือนหนึ่งจะต้องเสียภาษี ๕,๔๖๐ บาท พวกหุ้นส่วนได้มอบเงินให้จำเลยไปเสียเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท เหลือจากค่าภาษีเดือนละ ๕๔๐ บาทได้ตกลงให้จำเลยเก็บรักษาไว้เพื่อเสียภาษีปลายปี นับแต่โจทก์จำเลยและพวกเข้าหุ้นกันมาจนถึงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ซึ่งเป็นวันเลิกกิจการของหุ้นส่วน จำเลยได้รับเงินสำหรับเสียภาษีไปครบถ้วนทุกเดือน จำเลยว่าได้นำเงินดังกล่าวไปเสียค่าภาษีแล้วครั้นระหว่างวันที่ ๒๕ ถึง ๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๗ โจทก์ทั้งสี่ได้ถูกเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเรียกไปพบ โดยหาว่าโจทก์ทั้งสี่เสียภาษีไม่ครบถ้วน โจทก์จึงทราบว่าจำเลยเจตนาทุจริตคิดยักยอกเงินที่พวกโจทก์มอบให้จำเลยไปเสียภาษีที่สรรพากรโดยเสียไม่ครบถ้วน และโดยเฉพาะสำหรับโจทก์ที่ ๓ นั้น จำเลยได้แจ้งเสียภาษีฆ่าสุกรไว้เพียงวันละหนึ่งตัว ซึ่งความจริงฆ่าวันละ ๒ ตัว ทั้งนี้ โดยจำเลยได้ทำการยักยอกเงินของโจทก์ที่ได้มอบให้จำเลยไว้ เพื่อทำการเสียภาษี ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือ โจทก์ที่ ๑ จะต้องเสียภาษีพร้อมทั้งค่าปรับอีกเป็นเงิน ๕,๔๕๗.๔๒ บาท โจทก์ที่ ๒ จะต้องเสียภาษีพร้อมทั้งค่าปรับเป็นเงิน ๑,๔๔๔.๘๘ บาท โจทก์ที่ ๓ จะต้องเสียภาษีพร้อมทั้งค่าปรับเป็นเงิน ๓,๕๘๖.๘๐ บาท โจทก์ที่ ๔ จะต้องเสียภาษีพร้อมทั้งค่าปรับเป็นเงิน ๙,๔๑๗.๗๑ บาท จำเลยจะต้องรับผิดชอบเสียให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น เหตุเกิดระหว่างวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๕ ถึงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๖ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดที่ ตำบลธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ ขอเรียกราคาทรัพย์สินหรือค่าทดแทนจากจำเลย ๑๙,๙๐๖.๘๑ บาท และขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอกดังฟ้อง ความเสียหายที่บังเกิดขึ้นแก่โจทก์มิใช่เกิดจากกการกระทำของจำเลย จำเลยจึงหาต้องรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์หรือค่าทดแทนในส่วนแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามฟ้องไม่ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ เป็นฟ้องเคลือบคลุม ในส่วนแพ่งฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืนในผล
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ได้ความชัดว่า จำเลยยักยอกเงินที่พวกโจทก์มอบให้จำเลยไปเสียภาษีนั้นเท่าใด คงกล่าวไว้มีใจความสำคัญแต่เพียงจำนวนเงินที่มอบให้จำเลยไป จำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีรายเดือน จำนวนเงินเหลือรายเดือน จำนวนที่เหลือนี้ได้ตกลงให้จำเลยเก็บรักษาไว้เสียภาษีปลายปี ครั้นพวกโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียกไปพบ หาว่าเสียภาษีไม่ครบ จึงทราบว่าจำเลยยักยอกเงินที่มอบไป โดยเสียภาษีไม่ครบถ้วน เท่านั้น ดังนี้ เห็นว่าฟ้องของโจทก์ขาดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับทรัพย์หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับข้อหาว่าจำเลยเบียดบังยักยอกไปอันเป็นสารสำคัญ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งหาว่ายักยอกนั้นไม่ได้เลยจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ในส่วนทางแพ่งเห็นว่า โจทก์ที่ ๑, ๒, ๓ ได้ทราบถึงการดำเนินกิจการค้าและการเงินเกี่ยวกับการค้าขาย ทั้งไม่คัดค้าน ตลอดจนได้เห็นและทราบรายการที่ได้กรอกไว้ในแบบ ภ.ค.๔ เพื่อชำระภาษีการค้า และได้เซ็นชื่อไป จึงต้องรับผิดในความถูกต้องแท้จริงของข้อความตลอดจนจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ตนเซ็นชื่อเป็นผู้ยื่นนั้น ส่วนโจทก์ที่ ๔ นั้น จำเลยเสียภาษีการค้าให้ไม่ได้เพราะไม่ได้จดทะเบียนการค้า ดังนี้การที่โจทก์ที่ ๔ ไม่ได้เสียภาษีการค้าจนถูกปรับ จึงมิใช่ความผิดของจำเลย
พิพากษายืน.

Share