คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ทนายจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเพราะจงใจกระทำผิดกฎหมายโดยขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และการที่ทนายจำเลยไปถึงศาลชั้นต้นช้า กว่าเวลานัดถึง40 นาที แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ศาลชั้นต้นยังอ่านรายงานกระบวนพิจารณาไม่จบก็ตาม ก็ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบอีกต่อไป โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากห้องแถวพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิม และเจ้าของเดิม ขายให้โจทก์แล้ว เป็นการฟ้องโดยอาศัยความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาท มิใช่ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเช่า อันจะต้องใช้สัญญาเช่าเป็นพยานหลักฐานในคดี ฉะนั้นปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ปิดอากรแสตมป์เสียเอง โดยไม่ส่งไปให้เจ้าหน้าที่สรรพากรปรับ จึงไม่ใช่ปัญหาสำคัญ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าห้องแถวจาก ส. ครบกำหนดสัญญาในวันที่ 31 ธันวาคม 2530 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530โจทก์ได้ซื้อที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าวพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างมาโดยถูกต้อง โจทก์จึงรับโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าดังกล่าวต่อมาเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากห้องแถวที่เช่าและส่งมอบห้องแถวคืนโจทก์แต่จำเลยและบริวารเพิกเฉย โจทก์อาจนำห้องแถวนี้ให้บุคคลอื่นเช่าได้ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท ขอบังคับให้ดจำเลยพร้อมบริวารออกจากห้องแถวดังกล่าว และส่งมอบคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยกับให้ดำจเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบห้องแถวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่ดินของ ว. สามีของ ส. โดยมีข้อตกลงให้เช่าตลอดชีวิตของจำเลยเพราะมารดาของจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างห้องแถวแล้วยกให้ ว. โจทก์และ ส. ก็ทราบและต้องผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าวด้วย สัญญาเช่าท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมเพราะจำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าซึ่งมีข้อความเช่นนั้นกับ ส. จำเลยกับ ส. ได้ตกลงจะซื้อขายที่ดินและห้องแถวพิพาทก่อนโดยชำระราคาบางส่วนแล้ว โจทก์ก็ทราบเรื่อง การซื้อขายระหว่าง ส. กับโจทก์จึงเป็นการไม่สุจริตและฉ้อฉลจำเลยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 300 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จและสืบพยานจำเลยได้ 2 ปาก ต่อมาในวันนัดฟังประเด็นกลับและสืบพยานจำเลยต่อ โจทก์ยื่นคำแถลงขอปิดอากรแสตมป์สัญญาเช่าที่อ้างส่งศาล ศาลชั้นต้นอนุญาตส่วนจำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยโดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบต่อไป พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากห้องแถวพิพาทให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องแถวและที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบและสั่งงดสืบพยานจำเลยเป็นการชอบหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้นัดฟังประเด็นกลับและสืบพยานจำเลยในวันที่ 18มกราคม 2532 เวลา 9 นาฬิกา ในวันเวลานัดดังกล่าวทนายโจทก์มาศาลฝ่าจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาลเวลา 9.40 นาฬิกาศาลชั้นต้นจึงจดรายงานกระบวนพิจารณาโดยบันทึกเทปแล้วให้พนักงานพิมพ์ดีดพิมพ์ก่อนระหว่างนั้นได้พิจารณาคดีอื่นไปจนมีเวลาว่างจึงได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณาคดีนี้ ซึ่งขณะอ่านทนายจำเลยมาศาลและได้ยื่นคำแถลงว่า เหตุที่มาช้าเพราะทนายจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในความผิดฐานขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดดังนี้ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ทนายจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจนไปศาลไม่ทันถือเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุสุดวิสัยย่อมหมายถึงเหตุใดอันจะเกิดขึ้นหรือให้ผลพิบัติโดยไม่มีใครจะอาจป้องกันได้แม้ทั้งผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะเช่นนั้นการที่ทนายจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเพราะเหตุดังกล่าวเพราะทนายจำเลยจงใจกระทำผิดกฎหมายโดยขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยดังที่จำเลยฎีกาและการที่ทนายจำเลยไปถึงศาลชั้นต้นช้ากว่าเวลานัดถึง 40 นาทีแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ศาลชั้นต้นยังอ่านรายงานกระบวนพิจารณาไม่จบก็ตาม ก็ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบอีกต่อไป ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในสัญญาเช่าหลังจากที่ส่งต่อศาลแล้วโดยไม่ส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่สรรพากรปรับหรือเพิ่มอากรเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากห้องแถวพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมและจเ้าของเดิมขายให้โจทก์แล้วจึงเป็นการฟ้องโดยอาศัยความเป้นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทมิได้ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเช่าไม่ว่าสัญญาเช่าจะรับฟังได้หรือไม่หากได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในห้องแถวพิพาทอีกต่อไป ข้อกล่าวอ้างตามฟ้องของโจทก์มิใช่กรณีที่จะต้องใช้สัญญาเช่าเป็นพยานหลักฐานในคดี ดังนั้นปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในสัญญาเช่าโดยไม่ส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่สรรพากรปรับหรือเพิ่มอการทำให้สัญญาเช่าดังกล่าวเป็นพยานเอกสารที่รับฟังไม่ได้ดังที่จำเลยฎีกา หรือไม่ จึงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน.

Share