แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินซึ่งมีกอไผ่สีสุกขึ้นเองเต็ม รกและหนาเหมือนป่าจนทำนาและสวน หรือปลูกเรือนไม่ได้ ไม่ใช่ที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 แย่งครอบครอง 1 ปี ก็เอาคืนไม่ได้
ย่อยาว
จำเลยออกโฉนดในที่พิพาท โจทก์ฟ้องขอให้ทำลายโฉนดอ้างว่าเป็นที่ของโจทก์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกามีปัญหากฎหมายเกี่ยวกับอายุความการเรียกที่พิพาทคืนดังนี้
“สภาพของที่พิพาทคำพยานทั้งสองฝ่ายตรงกันว่า เป็นกอไผ่สีสุกเต็มไปหมด รกและหนาเหมือนป่า ไม่มีใครเคยใช้ทำสวนทำไร่หรือปลูกเรือนอยู่เลย เพราะทำไม่ไหว เพียงแต่จะปลูกต้นกล้วยก็ต้องแอบปลูกตรงที่ว่างได้บ้างกอสองกอ ปลูกมากไม่ได้ เพราะกอไผ่คลุมทำให้ไม่โตไม่งาม เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่นายไหวพยานโจทก์ยังเล็กจนอายุได้ 62 ปี ก็มิได้เปลี่ยนแปลง ทั้งทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่าผู้ใดเป็นผู้ปลูก จึงไม่มีทางจะวินิจฉัยว่า ที่พิพาทมีลักษณะเป็นสวนตามความหมายของกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 อันมีอายุความ 10 ปี ดังฎีกาของโจทก์
ถึงหากจะฟังว่า ครั้งหนึ่งผู้มีกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 3760 น่าจะได้เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทเพราะอยู่ติดต่อกันก็ตาม แต่เมื่อบุคคลเหล่านั้นได้โอนกรรมสิทธิ์ไป การครอบครองที่พิพาทของเขาก็ได้สิ้นสุดไปด้วย เพราะได้ความจากพยานโจทก์เองว่า นายเริงไปอยู่ตำบลโก่งธนู ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยเข้าอยู่ และไม่เคยทำประโยชน์อย่างใดในที่พิพาท ส่วนนางไพ่โจทก์ก็เช่นเดียวกันเมื่อนางไพ่โจทก์ขายที่ดินในโฉนดแล้ว ก็ระเห่เร่ร่อนไปอาศัยอยู่กับบุตรสาวบ้าง คนอื่นบ้าง การละเลยของนางไพ่โจทก์และนายเริงนั้น เป็นเหตุให้จำเลยใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทมานานโดยเปิดเผยอย่างน้อยที่สุดจำเลยก็ได้แสดงออกแจ้งชัดในระยะหลังไม่น้อยกว่า 3 ปี เช่น ใช้เป็นทางเดินผ่านจากที่บ้านไปยังทางสาธารณะ ห้ามมิให้ผู้ใดตัดไม้ไผ่ในที่พิพาท ซึ่งโจทก์ก็ไม่กล้าจะขัดขืน และขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดออกโฉนด ทั้งนี้โจทก์ก็รู้ดีอีก แต่โจทก์หาได้ฟ้องภายใน 1 ปีไม่ เพราะฉะนั้นเมื่อจำเลยขอให้ออกโฉนดเท่าที่จำเลยมีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีพฤติการณ์ใดที่ส่อให้เห็นว่า การออกโฉนดได้เป็นไปโดยไม่สุจริต”
พิพากษายืน