คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระภิกษุเมาสุราไปด่าท้าทายจำเลย ๆ ไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้าน ๆ แนะนำให้ไปแจ้งต่อเจ้าคณะหมวด เพราะผู้ด่าท้าทายเป็นสงฆ์ จำเลยจึงไปร้องต่อเจ้าคณะหมวด ๆ เรียกพระภิกษุนั้นมาแจ้งข้อหาให้ทราบ พระภิกษุปฏิเสธ จำเลยยืนยันต่อหน้าบุคคลหลายคนว่าพระภิกษุนั้นเมาสุราไปด่าท้าทายจริง ๆ จนในที่สุดเจ้าคณะหมวดไกล่เกลี่ยยอมเลิกแล้วแต่กันดังนี้ถือได้ว่าจำเลยกล่าวโดยสุจริตตามกฎหมายลักษณะ อาญามาตรา 283(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๑๘, ๑๕๘, ๒๘๒
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อคำพยานจำเลย ฟังข้อเท็จจริงว่าวันโจทก์หา โจทก์เมาสุรามาด่าท้ายทายนายหรั่งอยู่ห่างบ้านจำเลยราว ๑ เส้น จำเลยที่ ๑ ใช้จำเลยที่ ๒ ออกไปดู จำเลยที่ ๒ ไปดูห่างโจทก์เพียง ๕ วา แล้วกลับมาบอกจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นมารดาจำเลยที่ ๑ จึงไปร้องเรียนต่อนายคำผู้ทำการแทนผู้ใหญ่บ้าน ขอให้เรียกโจทก์มาว่ากล่าวตักเตือน นายคำแนะนำให้ไปร้องต่อเจ้าคณะหมวด เพราะโจทก์เป็นสงฆ์จำเลยจึงไปร้องต่อพระภิกษุปลั่งเจ้าอาวาสวัดหลักร้อยเจ้าคณะหมวด พระภิกษุปลั่งเรียกโจทก์มาชี้แจงข้อหาจำเลยให้โจทก์ทราบ โจทก์ปฏิเสธจำเลยทั้งสองยืนยันต่อหน้าบุคคลมากด้วยกันว่าโจทก์เมาสุราไปด่าท้าทายจริง ๆ พระภิกษุปลั่งเปรียบเทียบให้เลิกแล้วต่อกัน โจทก์ไม่ยอมต่อมาอีกพระภิกษุปลั่งเรียกคู่ความมาใหม่ จำเลยทั้ง ๒ ก็ยังยืนยันตามเดิม ผลที่สุดยอมเลิกแล้วต่อกัน บันทึกข้อความลงชื่อคู่พิพาทและพยานไว้
ได้ความดั่งนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าในข้อแจ้งความเท็จจึงฟังไม่ขึ้น ข้อหาฐานหมิ่นประมาทจำเลยไม่มีความผิด เพราะจำเลยได้กล่าวโดยสุจริตตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๘๓(๑) จึ่งพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

Share