คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ ส. บุตรผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางโดยผู้ร้องเป็นผู้ชำระราคาค่าเช่าซื้อจนครบถ้วน และผู้ให้เช่าซื้อได้มอบทะเบียนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องแล้วแต่ยังไม่ได้โอนทะเบียนเป็นของผู้ร้องนั้น ไม่มีผลทำให้ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง กรรมสิทธิ์ตกเป็นของ ส. ผู้เช่าซื้อนับแต่มีการชำระเงินตามเสร็จประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 การที่ผู้ร้องชำระเงินค่าเช่าซื้อถือว่าเป็นการชำระแทน ส. ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์อันแท้จริงในรถยนต์ของกลาง จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางซึ่งถูกริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งห้าตามพระราชบัญญัติป่าไม้และริบรถยนต์ ๑ คันของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยนำไปใช้ในการกระทำความผิด ขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายสิทธิชัย แก้วทองคำ บุตรผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางจากผู้จัดการร้านไทยยานยนต์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทวีระวรรณ จำกัด โดยผู้ร้องเป็นผู้ชำระราคาค่าเช่าซื้อจนครบถ้วน และบริษัทดังกล่าวได้มอบทะเบียนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนทะเบียนเป็นของผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบ ต้องเป็นเจ้าของอันแท้จริงในทรัพย์สินนั้น ดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๗๒ ได้บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อไว้ว่าเป็นสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าการเช่าซื้อต้องทำสัญญาเป็นหนังสือกันไว้ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามกฏหมาย ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลาง นายสิทธิชัยเป็นผู้ทำสัญญากับบริษัทวีระวรรณ จำกัด ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทำสัญญา แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้ชำระราคาค่าเช่าซื้อตามสัญญาที่นายสิทธิชัยทำไว้กับบริษัทวีระวรรณจำกัดครบถ้วน ก็ไม่มีผลทำให้ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง และกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางได้ตกเป็นสิทธิแก่นายสิทธิชัยผู้เช่าซื้อนับแต่มีการชำระเงินเสร็จ ดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา ๕๗๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ผู้ร้องชำระเงินค่าเช่าซื้อถือว่าเป็นการชำระแทนนายสิทธิชัย ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อันแท้จริงในรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share