คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกล่าวหลอกลวงส. ที่บ้านของส. แล้วในวันต่อมาไปกล่าวหลอกลวงว. ที่บ้านของว. ขณะที่จำเลยกล่าวหลอกลวงว. มีผู้เสียหายและชาวบ้านอื่นอยู่ด้วยแต่ไม่ได้ความว่าจำเลยกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายและชาวบ้านเหล่านั้นจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์แก่จำเลยว่าเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวแก่ว.แล้วผู้เสียหายอื่นไปได้ยินเข้าเองแล้วเชื่อและชำระเงินให้จำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายอื่นและชาวบ้านไม่เป็นการหลอกลวงประชาชน แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกันแต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมดังนี้ศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่ โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งไว้แล้วแต่ศาลล่างทั้งสองนับโทษต่อให้ไม่ได้เพราะคดีนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษาโจทก์ฎีกาขอให้นับโทษต่อโดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วโดยระบุหมายเลขคดีแดงมาด้วยเมื่อจำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริงศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายและประชาชนอื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 152,500 บาทแก่ผู้เสียหาย และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2669/2526, 2670/2526 และ 2672/2526ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน จำคุก4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 152,500 บาท แก่ผู้เสียหายและให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2669/2526 และ 2670/2526ของศาลชั้นต้น ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2672/2526 ศาลยังไม่พิพากษา ไม่นับโทษต่อให้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 91 ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุก3 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งห้าหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฎพอที่จะให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรม ดังนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหลายกรรมจึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต่อไปจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343หรือไม่ เห็นว่า จำเลยกล่าวหลอกลวงนายสวัสดิ์ที่บ้านนายสวัสดิ์วันต่อมาจำเลยจึงไปกล่าวหลอกลวงนายวินัยที่บ้านนายวินัย นายวินัยเบิกความว่าจำเลยเป็นเพื่อนกับนายวินัยไปหานายวินัยที่บ้านแล้วจำเลยกล่าวหลอกลวงนายวินัย ขณะที่จำเลยกล่าวหลอกลวงนายวินัยมีนายยศ นายไมย์ นายประเทียนชัยและชาวบ้านอื่นอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ความว่าจำเลยกล่าวหลอกลวงนายยศ นายไมย์ นายประเทียนชัย และชาวบ้านจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์แก่จำเลยว่าเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวแก่นายวินัย แล้วผู้เสียหายอื่นไปได้ยินเข้าเอง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายอื่นและชาวบ้านหากแต่ผู้เสียหายอื่นได้ยินแล้วเชื่อและชำระเงินให้จำเลย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวจึงถือได้ว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเป็นรายบุคคลจำเลยมิได้หลอกลวงประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลจะต้องนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2672/2526 ของศาลชั้นต้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2672/2526 ของศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวไม่ได้ เพราะคดีนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษา โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2672/2526 หมายเลขแดงที่ 3332/2526 ของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วจำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 152,500 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งห้านั้น เห็นว่า นายวินัยและนายยศ ผู้เสียหายเบิกความจ่ายเงินให้จำเลยเพียงคนละ 30,000 บาท คงมีนายไมย์นายประเทียนชัย และนายสวัสดิ์ ผู้เสียหายเท่านั้นที่เบิกความว่า นอกจากจ่ายเงินให้จำเลยละ 30,000 บาทแล้ว ผู้เสียหายทั้งสามยังจ่ายเงินให้จำเลยอีกคนละ 500 บาท โดยจำเลยอ้างว่าเป็นค่าสมัครสอบ รวมค่าเสียหายที่ผู้เสียหายทั้งห้าจ่ายให้จำเลยจึงเป็นจำนวนเงินเพียง 151,500 บาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินเกินไป 1,000 บาท จึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียว จำคุก 8 เดือนให้จำเลยคืนเงิน 151,500 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งห้า และให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3332/2526 ของศาลชั้นต้นด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.

Share