คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10675-10676/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพิ่งมีมติให้เพิกถอนสิทธิของโจทก์ทั้งสองระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่สามารถระบุมติดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่ง และมีเหตุอันสมควรที่จะขออนุญาตยื่นพยานเอกสารดังกล่าวต่อศาลฎีกา เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสาร และพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงรับสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นพยานในชั้นฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้จำเลยและบริวารขนย้าย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเก็บเกี่ยวพืชผลออกไปจากที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แปลงที่ 7 เลขที่ 3467 และ 3466 ระวาง ส.ป.ก. ที่ 1963กิ่งอำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี และให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 500 บาท ต่อไร่ จนกว่าจะส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน เลขที่ 3467 และ 3466 อำเภอเกาะจันทร์(ที่ถูก กิ่งอำเภอเกาะจันทร์) จังหวัดชลบุรี ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 500 บาท ต่อไร่ จนกว่าจะส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 46,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 200 บาท ต่อไร่จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินตามฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิในที่ดินพิพาท เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยโจทก์ที่ 1 ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเลขที่ 3467 ระวาง ส.ป.ก. 1963 กิ่งอำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 39 ไร่ 3 งาน ส่วนโจทก์ที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เลขที่ 3466 ระวาง ส.ป.ก. ที่ 1963 กิ่งอำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 39 ไร่ 3 งาน 37 ตารางวา หลังจากโจทก์ทั้งสองได้รับเอกสารสิทธิแล้วโจทก์ทั้งสองมีความประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดิน แต่จำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยรื้อถอนหลักหมุดเสาปูนที่แสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่เกษตรกรตามความหมายของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีสิทธิได้รับเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 แต่เมื่อคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดชลบุรีเพิ่งมีมติให้เพิกถอนสิทธิของโจทก์ทั้งสองระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่สามารถระบุมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดชลบุรีให้โจทก์ทั้งสองสิ้นสิทธิการได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดินเป็นพยานต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่ง ได้ จึงมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะขออนุญาตยื่นพยานเอกสารดังกล่าวต่อศาลฎีกา เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสารและพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงรับสำเนามติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดชลบุรีที่ให้โจทก์ทั้งสองสิ้นสิทธิการได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดินแนบท้ายคำร้องฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 ของจำเลยเป็นพยานในชั้นฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) และเห็นว่า ผลจากมติดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งสองสิ้นสิทธิการได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ได้รับมอบจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยการให้เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2540 ข้อ 11 (3) เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกรตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2518 มาตรา 4 ซึ่งมีผลเสมือนโจทก์ทั้งสองไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อน โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น สำหรับฎีกาของจำเลยข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ให้โจทก์แต่ละสำนวนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวมสำนวนละ 10,000 บาท

Share