คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของกระทรวงการคลังจำเลย ที่ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาว่า ปฏิบัติการไม่ชอบในการจ่ายเงินของทางราชการ โดยให้โจทก์พักราชการระหว่างสอบสวนก็ดี คำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการไว้ก่อนและให้ยับยั้งการขอบำเหน็จบำนาญไว้จนกว่าเรื่องจะถึงที่สุดก็ดี และคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการฐานมีมลทินมัวหมองก็ดี ล้วนเป็นคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ออกโดยอาศัยอานาจแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน อันเป็นกฎหมายพิเศษที่ใช้บังคับ ฉะนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ชอบที่จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ประกอบด้วยกฎกระทรวง และระเบียบแบบแผนว่าด้วยการนั้น โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจอให้ศาลพิพากษาว่า คำสั่งดังกล่าวของกระทรวงการคลังเป็นโมฆะ และสั่งบังคับกระทรวงการคลังให้สั่งโจทก์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมหาได้ไม่ เพราะเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหาร และมิใช่หน้าที่ของศาลที่จะสั่งได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499 และคำพิพากษาฎีกาที่ 568/2502)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างปี ๒๔๘๘ ถึงปี ๒๔๘๙ โจทก์รับราชการตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกระทรวงการคลัง และได้รับแต่งตั้งให้ไปช่วยราชการกรมธนารักษ์ ในการปรับปรุงที่ราชพัสดุเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ในการปรับปรุงที่ราชพัสดุดังกล่าว กระทรวงการคลัง (จำเลย) ได้มีคำสั่ง ๓ ฉบับ ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ว่าปฏิบัติการไม่ชอบในการจ่ายเงินทุนปรับปรุงที่ราชพัสดุ โดยให้โจทก์พักราชการระหว่างสอบสวน ปรากฏตามสำเนาคำสั่งหมายเลข ๑, ๒, ๓ ต่อมากระทรวงการคลังโดยปลัดกระทรวงการคลังสั่งแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีคำสั่งลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๔๙๒ ให้โจทก์ออกจากราชการไว้ก่อน และให้ยับยั้งการขอบำเหน็จบำนาญไว้จนกว่าเรื่องจะที่สุด ปรากฏตามสำเนาคำสั่งหมายเลข ๔ แล้วต่อมากระทรวงการคลังได้มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการฐานมีมลทินมัวหมอง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๔๙๒ ปรากฏตามสำเนาคำสั่งหมายเลข ๕ คำสั่งกระทรวงการคลังทั้ง ๕ ฉบับดังกล่าวเป็นคำสั่งฝ่าฝืนระเบียบแบบแผนของทางราชการ และมติของคณะรัฐมนตรี โดยเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังและขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๘๕ ทั้งโจทก์มิได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา กระทรวงการคลังจึงไม่มีหน้าที่สั่งให้โจทก์ออกจากราชการฐานมีมลทินมัวหมองได้ พฤติการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและปลัดกระทรวงการคลังในสมัยนั้นบางท่านมีสาเหตุโกรธเคืองโจทก์ และอาศัยอำนาจทางการเมืองกลั่นแกล้งกล่าวหาโจทก์ เป็นการใช้สิทธิในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่สุจริต โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อประธานคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๐ ต่อมาจนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๙ โจทก์จึงทราบจากประธานคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ว่า คณะกรรมการมีมติให้ยกเรื่องราวของโจทก์และได้เสนอคำวินิจฉัยดังกล่าวไปยังนายกรัฐมนตรี เรื่องจึงอยู่ในระหว่างรอคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งกระทรวงการคลังทั้ง ๕ ฉบับเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้กระทรวงการคลัง (จำเลย) สั่งให้โจทก์กลับเข้ารับราชการตำแหน่งเดิมตามสิทธิของโจทก์ต่อไป
จำเลยให้การว่า คำสั่งของจำเลยทั้ง ๕ ฉบับ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกประการในการสอบสวนโจทก์ฐานกระทำผิดวินัย ทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๘๕ และ พ.ศ. ๒๔๙๗ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือปลัดกระทรวงการคลังไม่ว่าในสมัยใด ไม่เคยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งโจทก์ โจทก์มีมลทินมัวหมองตามข้อกล่าวหาจริง จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๘๕ มาตรา ๔๓ (ก) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ เพราะการเข้ารับราชการก็ดี การออกจากราชการก็ดี การขอเข้ารับราชการใหม่ก็ดี เป็นเรื่องต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนกฎกระทรวง และระเบียบแบบแผนว่าด้วยการนั้น อันเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร โจทก์จะใช้สิทธิทางศาลบังคับจำเลยไม่ได้ โจทก์ฟ้องในทางละเมิด แต่โจทก์ทราบคำสั่งและร้องทุกข์เกิน ๑ ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายและพิพากษาว่า ตามที่โจทก์ฟ้อง ก็เท่ากับหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ แต่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำละเมิด คดีจึงขาดอายุความ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิด และมิได้เรียกร้องค่าเสียหายฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อหาตามฟ้องของโจทก์ยังมิได้รับการพิจารณาจากศาลชั้นต้น จึงพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีประเด็นสำคัญที่ต้องวินิจฉัยก่อน ตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งทั้ง ๕ ฉบับของจำเลยเป็นโมฆะ และบังคับจำเลยให้สั่งโจทก์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ว่า ในขณะที่เกิดพิพาทคดีนี้ขึ้น โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือน และจำเลยก็เป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ในสมัยที่ใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๘๕ ทั้งโจทก์จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอันเป็นกฎหมายพิเศษว่าด้วยการสอบสวนและลงโทษข้าราชการฐานกระทำผิดวินัย การร้องทุกข์และการอุทธรณ์เมื่อถูกลงโทษทางวินัย ประกอบกับกฎกระทรวงและระเบียบแบบแผนของทางราชการว่าด้วยการนั้น ๆ คดีนี้ จำเลยมีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ฐานกระทำผิดวินัยข้าราชการ คำสั่งทั้ง ๕ ฉบับที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะนั้น เป็นคำสั่งตามอำนาจของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้อง หรือโจทก์ไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะถูกกลั่นแกล้งประการใด ก็ชอบที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของศาลที่จะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องนี้ ฉะนั้น โจทก์จะนำคดีมาฟ้องให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยเป็นโมฆะ และสั่งบังคับจำเลยให้สั่งให้โจทก์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมต่อไปไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร ไม่มีความจำเป็นที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share