คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1063/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150บัญญัติให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ต้องยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะยื่นคำฟ้องหรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ในขณะโจทก์ยื่นคำฟ้องหรือในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนฟ้องมาแต่แรก จึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ทราบภูมิลำเนาของจำเลยมาก่อน มิใช่ไม่อาจทราบภูมิลำเนาของจำเลยภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว หรือจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปภายหลังโดยโจทก์ไม่อาจทราบที่อยู่ใหม่ ดังนั้นจึงไม่อาจใช้วิธีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบด้วยวิธีอื่นหรือโดยการประกาศหนังสือพิมพ์แทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ได้ แต่ชอบที่จะไม่รับฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 517/2523 ของศาลชั้นต้นโดยจำเลยตกลงชำระหนี้แก่โจทก์ 64,898.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยผ่อนชำระแก่โจทก์เป็นรายเดือนแต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ถึงวันฟ้องรวมเป็นหนี้แน่นอน 164,572.32 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้งในระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว กับเป็นหนี้เงินกู้เจ้าหนี้อื่นอีกหลายรายและถูกทวงหนี้จำเลยจึงหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ตั้งแต่ต้นปี2533 ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้อง ต่อมายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแก่จำเลยแล้ว แต่หาบ้านจำเลยไม่พบ โจทก์ขอเวลา 10 วัน เพื่อสืบหาที่อยู่ของจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต ครั้นวันที่ 14 กันยายน 2533 โจทก์ยื่นคำแถลงว่าโจทก์พยายามสืบหาที่อยู่จำเลยแล้ว แต่ไม่อาจทราบได้ว่าขณะนี้จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ตำบล จังหวัดใด การส่งหมาย ณ ภูมิลำเนาจำเลยไม่สามารถกระทำได้ ขออนุญาตประกาศโฆษณาให้จำเลยทราบคำฟ้องทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแก่จำเลยศาลชั้นต้นสั่งว่า ให้โจทก์คัดสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้อง หรือหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยมีภูมิลำเนาในเขตจังหวัดชลบุรี หรือเคยมีภูมิลำเนาในเขตจังหวัดชลบุรี ภายใน 1 ปี ก่อนวันฟ้องมาแสดงภายในกำหนด 10 วันต่อมาวันที่ 21 กันยายน 2533 โจทก์ยื่นคำแถลงว่าได้นำสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยมาแสดงโดยได้แนบมาพร้อมคำแถลงแล้วขออนุญาตให้โจทก์ประกาศให้จำเลยทราบฟ้องของโจทก์ทางหนังสือพิมพ์ส่วนกลางแทนการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามสำเนาทะเบียนบ้านท้ายคำแถลงไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีภูมิลำเนาตามฟ้องมาก่อน ประกอบกับคำแถลงฉบับลงวันที่ 14 กันยายน 2533 ของโจทก์ก็ว่าไม่ทราบว่าจำเลยอยู่จังหวัดใด กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจศาลจังหวัดชลบุรีในขณะฟ้องหรือในระยะ 1 ปี ก่อนฟ้อง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษา การที่ศาลมีคำสั่งรับฟ้องโจทก์จึงเป็นการสั่งโดยผิดพลาดหรือผิดหลง จึงให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องดังกล่าวเสีย และไม่รับฟ้องโจทก์ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยตามภูมิลำเนาที่จำเลยได้บอกแก่โจทก์ไว้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 150 บัญญัติให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลที่ลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขต หรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือภายในกำหนด 1 ปีก่อนนั้น เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ทราบที่อยู่ของลูกหนี้หรือลูกหนี้มีภูมิลำเนาที่อยู่แน่นอนถ้าเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่อาจทราบภูมิลำเนาของลูกหนี้ได้ ภายหลังที่ได้เสนอคำฟ้องแล้วหรือลูกหนี้ได้ย้ายภูมิลำเนาไปโดยไม่ทราบที่อยู่ใหม่แล้ว เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ย่อมเสนอคำฟ้องต่อไปโดยดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้ลูกหนี้ทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ได้นั้นเห็นว่าพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 บัญญัติว่า”การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลายให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทน ในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอหรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น” ตามบทบัญญัติดังกล่าว สำหรับกรณีของโจทก์นั้นโจทก์ต้องยื่นคำฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นในขณะเมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้อง หรือในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนฟ้องมาแต่แรกแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยตามภูมิลำเนาที่จำเลยบอกแก่โจทก์ไว้ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานใดยืนยันให้เห็นว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามฟ้องดังที่โจทก์ฎีกา จึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ทราบภูมิลำเนาของจำเลยมาก่อนมิใช่โจทก์ไม่อาจทราบภูมิลำเนาของจำเลยภายหลังที่โจทก์ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว หรือจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปภายหลังโดยโจทก์ไม่อาจทราบที่อยู่ใหม่ ซึ่งอาจใช้วิธีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบด้วยวิธีอื่นโดยการประกาศหนังสือพิมพ์แทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 ได้ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนไม่รับฟ้องของโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share