แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ได้มีคำร้องขอต่อศาล และศาลมีคำสั่งในคดีไม่มีข้อพิพาทว่าผู้ร้องขอมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงหนึ่งนั้น ย่อมใช้เป็นหลักฐานยันบุคคลภายนอกได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิบุคคลภายนอกที่จะนำสืบว่ามีสิทธิดีกว่าผู้ร้องขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องอนาถากล่าวว่า ที่นาตามแผนที่ท้ายฟ้องราคา 3,000 บาทตำบลคลองกระบือ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้มาเมื่อ 11 ปีมานี้ โดยนางบาง ชูนุ่ม ย่าของโจทก์ยกให้ตั้งแต่โจทก์ยังเป็นเด็กอายุ 10 ปี ก่อนนางบางตายได้ให้นายแพบุตรนางบางซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 และบิดาของจำเลยที่ 2 ปกครองไว้แทนโจทก์ ต่อมาเมื่อ 8 ปีเศษมานี้นางบางถึงแก่ความตายโจทก์ได้อยู่กับนายแพผู้เป็นลุงและทำนารายนี้กับนายแพมาได้ 1 ปีเศษแล้วก็ไปอยู่กับมารดาที่ตำบลขนาบนาก ไกลจากที่พิพาท นายแพคงปกครองที่นาแทนโจทก์อยู่จนนายแพตายเมื่อ 5-6 ปีมานี้ โจทก์ได้ฝากจำเลยทั้งสองช่วยปกครองแทน ซึ่งจำเลยทั้งสองต่างรับรองว่าจะปกครองไว้ให้เมื่อโจทก์มีอายุครบ 20 ปี หรือบรรลุนิติภาวะแล้วต้องการจะเอาคืนเมื่อใดก็จะคืนให้ ครั้นราวเดือน 4 หรือเดือน 5 พ.ศ. 2493 โจทก์ได้พูดบอกจะเอาที่นาคืน จำเลยทั้งสองก็ตกลงยอมคืนให้ เมื่อเดือน 8 หลังในปีเดียวกันนั้น โจทก์เข้าทำนารายพิพาทและได้หว่านข้าวกล้าลงในที่ขึ้นงอกงามดีแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 บังอาจบุกรุกใช้โคไถต้นข้าวนั้นตายเสียหายคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ เป็นราคาเงิน 200 บาท และจำเลยได้แสดงอำนาจขัดขวางไม่ให้โจทก์ทำนา และครอบครองที่โดยปกติสุขโจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่นาตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ให้จำเลยคืนให้แก่โจทก์ และห้ามจำเลยกับบริวารอย่าให้เข้ามาเกี่ยวข้องขัดขวางต่อไป ให้จำเลยใช้ราคาข้าวกล้าที่จำเลยทำให้เสียหายเป็นเงิน 200 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย
จำเลยให้การแก้ว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์เป็นที่ของจำเลย คือเดิมจำเลยที่ 1 กับนายแพสามีได้ปกครองถือสิทธิเป็นเจ้าของมาประมาณ10 ปีแล้ว เมื่อ 10 ปีมานี้จำเลยที่ 1 กับนายแพให้ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ปกครองถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ และจำเลยที่ 2 ก็ได้ปกครองถือสิทธิทำนาตลอดมาจนบัดนี้ นอกจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังได้มายื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยศาลจังหวัดปากพนังได้มีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 แล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 197/2493 ของศาลนั้น จำเลยปฏิเสธว่านางบางไม่เคยให้นายแพปกครองที่นี้แทนโจทก์ และเมื่อนายแพถึงแก่กรรมเมื่อประมาณ8 ปีมานี้ จำเลยก็ไม่เคยรับปากจากโจทก์ให้ดูแลปกครองแทนโจทก์จำเลยไม่เคยตกลงรับปากว่าจะคืนนาพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อเดือน 4-5 ปี พ.ศ. 2493 โจทก์ก็ไม่เคยมาพูดขอนาคืน ใน พ.ศ. 2493 จำเลยที่ 2 ทำนาตามฤดูกาลเป็นปกติ โจทก์ไม่เคยเข้าทำนานั้นในปีพ.ศ. 2493 เลยจำเลยไม่ได้ทำลายต้นข้าวกล้าและบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้อง เนื่องจากที่นาพิพาทเป็นของจำเลย ๆ จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นอกจากที่กล่าวแล้วจำเลยตัดฟ้องว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องกับนาพิพาทและจำเลยปกครองมากว่า 10 ปีแล้ว จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมค่าทนายแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนางบาง ๆ ยกให้โจทก์ จำเลยได้รับฝากนานี้ไว้จากโจทก์ ที่จำเลยขอให้ศาลแสดงสิทธิในที่รายพิพาทตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 197/2493 นั้นแสดงว่าจำเลยเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อจะโกง คำสั่งศาลมิได้วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ศาลเป็นแต่สั่งว่าจำเลยมีสิทธิครอบครอง แม้ศาลจะสั่งเรื่องกรรมสิทธิ์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ก็ยังอนุญาตให้บุคคลภายนอกพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า เรื่องค่าเสียหายโจทก์สืบได้ว่าจำเลยบังอาจไถทับข้าวกล้าของโจทก์ ควรให้ค่าเสียหายตามขอ จึงพิพากษาว่าที่นาวิวาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ ให้จำเลยคืนให้โจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องขัดขวาง ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 200 บาทให้โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียม กับค่าทนายความ 200 บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยที่ 2 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้จำเลยฎีกาทั้งในปัญหาข้อกฎหมายและในปัญหาข้อเท็จจริง ในข้อกฎหมายจำเลยกล่าวว่า ที่จำเลยขอให้ศาลแสดงสิทธิในที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 197/2493 เพื่อเป็นหลักฐานในการครอบครองที่ดินต่อไปนั้น เป็นการกระทำตามกฎหมายโดยสุจริตและเปิดเผย ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้สิทธิปกครองตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้จำเลย สำหรับข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาของศาลจังหวัดปากพนังในคดีแดงหมายเลขที่ 197/2493 ซึ่งสั่งว่านารายนี้เป็นสิทธิแก่ผู้ร้องคือนายหับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้โดยทางครอบครองนั้น ย่อมเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่แปลงนี้อันจำเลยอาจนำไปใช้ยันบุคคลภายนอกได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เพราะตามมาตรา 145 นั้นแม้ในคดีมีคู่ความ ถ้าศาลวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใด ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดก็ยังไม่ห้ามบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่า คดีหมายเลขแดงที่ 197/2493 ที่จำเลยยกขึ้นอ้าง เป็นเพียงคดีไม่มีข้อพิพาทซึ่งจำเลยเป็นผู้ร้องต่อศาลแต่ฝ่ายเดียว และศาลเป็นแต่สั่งว่าที่นั้นเป็นสิทธิแก่ผู้ร้องคือจำเลยโดยทางครอบครอง ก็ยิ่งไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลยในบัดนี้ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงตกไป
ในส่วนข้อเท็จจริงโจทก์นำสืบว่านารายพิพาทเดิมเป็นของนางบางย่าโจทก์ นางบางยกให้นายพันบิดาโจทก์ ต่อมานายพันตายก่อนนางบางจึงพูดบอกกับพวกลูก ๆ เมื่อประมาณ 10 ปีมานี้ว่ายกที่พิพาทให้โจทก์ซึ่งเวลานั้นอยู่กับนางบาง และฝากนายแพบิดาจำเลยที่ 2 เป็นคนรักษาไว้ให้โจทก์ เพราะโจทก์เวลานั้นมีอายุ 8-9 ปีเท่านั้น ส่วนนางขุ้มมารดาโจทก์ไปมีสามีใหม่ที่บางหลง เมื่อพูดยกให้ 3-4 ปีแล้วนางบางก็ตาย โจทก์ไปอยู่กับนายครุธบ้างนายแพบ้าง นายครุธตายก่อนนายแพ ๆ ตายเมื่อ 6-7 ปีมานี้ มารดาโจทก์จึงรับโจทก์ไปอยู่ด้วยที่บางหลง เมื่อนายแพตายได้ 1 เดือนโจทก์กับนางขุ้มมารดาได้ไปพักที่บ้านนายเกลื่อนผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นลุงเขยของโจทก์ นายเกลื่อนเรียกจำเลยมาพูดกันเรื่องที่นานี้ โจทก์กับมารดาได้พูดฝากนาพิพาทไว้จำเลยก็รับฝากและว่าไม่เอานานั้นเสียเอง ต่อมาเมื่อเดือน 4 พ.ศ. 2493 โจทก์ไปขอคืนนาจากจำเลย ๆ ว่ามาทำก็ได้ ครั้นถึงเดือน 8 ปีเดียวกัน โจทก์เข้าทำนาหว่านข้าวในที่พิพาท นายหับจำเลยได้มาไถกลบเสีย ทำให้ข้าวโจทก์เสียหายประมาณ 200 เรียง ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเดิมเป็นป่า นายแพกับนางหวลจำเลยได้หักสร้างเองเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ที่นี้ติดที่บ้านซึ่งบิดามารดายกให้นางหวลจำเลย นายแพกับนางหวลยกที่นี้ให้นายหับจำเลยเมื่อประมาณ 11-12 ปีมานี้ ที่พิพาทนี้กำนันพรมไปรังวัดเมื่อ 12 ปีมานี้ลงชื่อนายแพนางหลวงเป็นเจ้าของ และจำเลยเป็นผู้เสียเงินค่าบำรุงท้องที่ตลอดมา
ตามข้อนำสืบของโจทก์จำเลยดังกล่าวแล้ว ศาลนี้เห็นพ้องกับศาลล่างทั้งสองว่า น่าเชื่อว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนางบาง และนางบางยกที่นี้ให้โจทก์จริง เพราะที่พิพาทอยู่ใกล้กับที่บ้านนางบางไม่น่าเชื่อว่าเป็นป่าซึ่งจำเลยต้องหักสร้างเอาดังจำเลยนำสืบประการหนึ่ง กับพยานบุคคลฝ่ายโจทก์ล้วนเป็นญาติสนิทของโจทก์จำเลยมีโอกาสรู้ข้อเท็จจริงภายในครอบครัวดีกว่าพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งส่วนมากเป็นบุคคลภายนอก อีกประการหนึ่ง ที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งในฎีกาของตนว่า ถ้าเดิมที่นี้เป็นของนางบางยกให้โจทก์จริง เหตุใดจะต้องให้นายแพบิดาจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลแทน เพราะแม้โจทก์จะยังเล็กมารดาโจทก์ก็ยังอยู่อีกทั้งคนนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อนายพันบิดาโจทก์ตายแล้ว นางขุ้มมารดาโจทก์ไปได้สามีใหม่และไปอยู่ที่อื่น ส่วนโจทก์คงอยู่กับนางบางผู้เป็นย่าตลอดมาการที่นางบางฝากนายแพบุตรของตนซึ่งเป็นลุงโจทก์ ให้ช่วยรักษานาไว้ให้โจทก์จึงไม่เป็นของแปลกอย่างใด ส่วนที่จำเลยแย้งว่า เมื่อนางบางนายแพตายแล้ว โจทก์ไม่มีเหตุที่จะฝากนากับจำเลย เพราะมารดาโจทก์ก็ยังมีนั้น เหตุผลที่โจทก์ต้องฝากก็เป็นเพราะโจทก์ยังเด็กและไปอยู่เสียกับมารดาที่อื่นไกลจากที่พิพาท ข้อตำหนิของจำเลยจึงฟังไม่ได้อีก
ตามเหตุผลต่าง ๆ ที่แสดงมาแล้วศาลนี้เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยคืนให้โจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องขัดขวาง ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 200 บาทนั้นเป็นการชอบแล้ว จึงพร้อมกันพิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 เสียค่าธรรมเนียมค่าทนายชั้นนี้แทนโจทก์อีก 100 บาท