แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินบ้านเรือนให้โจทก์จำเลยคนละเท่าๆกัน โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าต่อไปภายหน้าผู้ที่ได้รับที่ดินบ้านเรือนนี้คนใดไม่ต้องการที่ดินบ้านเรือนรายนี้ ต้องขายให้แก่บรรดาผู้ที่ยังคงต้องการ โดยกำหนดราคาไว้ ผู้ใดที่ไม่ต้องการ ก็ให้ได้รับเงินแทนค่าที่ดินบ้านเรือนไปตามส่วนที่ตีราคาไว้ในพินัยกรรมนี้ โดยให้ผู้ต้องการอยู่จ่ายเงินตามส่วนที่กำหนดไว้นี้ให้ไป ผู้ใดไม่ต้องการ จะเรียกร้องเอาราคาที่เกินกว่าที่กำหนดไว้นี้ไม่ได้ ดังนี้ โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอให้แบ่งทรัพย์รายนี้โดยวิธีประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งถ้าไม่ตกลงกันก็ขายทอดตลาด เอาเงินมาแบ่งปันกันได้ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ต้องการทรัพย์ที่ยกให้ตามพินัยกรรม อันจะต้องขายให้ผู้รับทรัพย์ร่วมกันตามข้อกำหนดในในพินัยกรรม แต่เป็นเรื่องที่โจทก์เรียกร้องให้แบ่งทรัพย์ที่โจทก์ได้รับมาแล้วร่วมกับจำเลยตามพินัยกรรม์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของทรัพย์รายพิพาทร่วมกัน  ขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้  ได้เงินเงินสุทธิมากน้อยเท่าใด  แบ่งให้โจทก์จำเลยคนละส่วนเท่าๆกัน    จำเลยต่อสู้ว่า  จะขายทอดตลาดไม่ได้  จำเลยยินดีชำระราคาตามข้อกำหนดพินัยกรรม
ศาลชั้นต้นฟังว่า  นางสุดใจ  เลขาวณิชย์วายชนม์  ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินบ้านเรือนซึ่งเป็นทรัพย์รายพิพาทให้โจทก์จำเลยคนละส่วนเท่าๆกัน  โดยมีเงื่อนไขว่า  ถ้าต่อไปภายหน้าผู้ที่ได้รับที่ดินบ้านเรือนนี้คนใดไม่ต้องการที่ดินบ้านเรือนรายนี้ต้องขายให้แก่บรรดาผู้ที่ยังคงต้องการ  โดยกำหนดราคาไว้ดังนี้  คือที่ดินโฉนดที่  ๖๘๘  พร้อมด้วยบ้านเรือนโรงตีราคาไว้  ๒๐๐๐  บาท  ที่ดินโฉนดที่  ๙๓๒  พร้อมด้วยบ้านเรือนโรงตีราคาไว้  ๘๐๐๐  บาท  ผู้ใดที่ไม่ต้องการก็ให้ได้รับเงินแทนค่าที่ดินบ้านเรือนโรงไปตามส่วนที่ตีราคากำหนดไว้ในพินัยกรรมนี้  โดยให้ผู้ต้องการอยู่  จ่ายเงินตามส่วนที่กำหนดไว้นี้ให้ไป  ผู้ใดไม่ต้องการจะรียกร้อง  เอาราคาที่เกินกว่ากำหนดนี้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า   ผู้ทำพินัยกรรมมีความประสงค์ให้ผู้รับมีส่วนเท่าๆกัน  จึงกำหนดราคาไว้เพื่อมิให้ผู้ใดโต้แย้ง  หากผู้ทำพินัยกรรมคาดหมายได้ว่า  ภายหลังค่าของเงินจะเปลี่ยนแปลงไปในทางสูงขึ้นหรือต่ำลงอาจจะไม่กำหนดข้อนี้ไว้ ฉะนั้น ยึดเอาราคาปัจจุบันเป็นหลัก  ย่อมเป็นการชอบธรรมและตรงกับความประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรมจะให้ได้รับส่วนเท่าๆกันอยู่นั่นเอง    ทั้งเงื่อนไขในเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรม  จำหน่ายทรัพย์ที่ยกให้แก่บุคคลอื่น  ซึ่งตาม  ป.ม.แพ่งมาตรา  ๑๗๐๗  ให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลย    จึงพิพากษาให้แบ่งทรัพย์รายพิพาท  โดยวิธีประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลย  หากไม่ตกลง  ก็ให้ขายทอดตลาด  แล้วแบ่งกันตามส่วน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตาม  ก.ม.ยอมให้เจ้าของรวมมีสิทธิที่จะเรียกร้องขอให้แบ่งทรัพย์ที่เป็นเจ้าของร่วมกันได้  และศาลก็ย่อมพิพากษาให้แบ่ง  ตาม  ป.ม.แพ่งมาตรา  ๑๓๖๔  กรณีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์เรียกร้องให้แบ่งทรัพย์ที่โจทก์ได้รับมาแล้วร่วมกับจำเลยตามพินัยกรรม    มิใช่เป็นเรืองที่โจทก์ไม่ต้องการทรัพย์ที่ยกให้ตามพินัยกรรม  อันจะต้องขายให้ผู้รับทรัพย์ร่วมกันตามข้อกำหนดในพินัยกรรม  ฉะนั้น  ฉะนั้นแม้จะถือว่าเงื่อนไขเช่นนี้  ไม่เข้ามาตรา  ๑๗๐๗  ดังฎีกาของจำเลย  จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีได้
จึงพิพากษายืน

