คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การมอบอำนาจให้ฟ้องคดี เมื่อโจทก์ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้มอบอำนาจแล้ว ย่อมสมบูรณ์ หาจำต้องลงชื่อผู้รับมอบอำนาจอีกชั้นหนึ่งไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่ให้เช่า ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้รับมอบไม่ลงชื่อ นางสุนีย์ กันตะเพ็ง ผู้รับมอบจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิก โจทก์ต้องให้โอกาสจำเลยซื้อที่ดินที่เช่าก่อนบุคคลอื่นตามสัญญาในราคาพอสมควร โจทก์ขายให้นางสุนีย์ กันตะเพ็ง ในราคาต่ำกว่าโดยไม่บอกกล่าวให้จำเลยทราบ การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าภายหลังจากที่ขายที่ดินให้นางสุนีย์ กันตะเพ็ง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ค่าเช่าที่ค้างโจทก์ไม่มาเก็บเอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องตามหนังสือมอบอำนาจ การเสนอขายตามสัญญาเช่าโจทก์ได้เสนอแล้ว จำเลยมิได้สนองตอบภายในกำหนดเวลา คำเสนอจึงสิ้นความผูกพัน โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้วก่อนฟ้อง โจทก์ใช้สิทธิโดยสุจริต เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยยังอยู่ในที่ดินโจทก์ก็เป็นการอยู่โดยละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่เช่าในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง กับค่าเสียหายจนกว่าจะรื้อถอนออกไปจากที่เช่า

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการที่โจทก์มอบอำนาจให้นางสุนีย์กันตะเพ็ง ฟ้องคดี ผู้รับมอบไม่ได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจมีแต่ผู้มอบอำนาจลงชื่อไว้ฝ่ายเดียว ไม่สมบูรณ์นั้น การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อโจทก์ผู้มอบอำนาจแล้วย่อมสมบูรณ์ หาจำต้องลงชื่อผู้รับมอบอำนาจอีกชั้นหนึ่งไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะในระหว่างที่โจทก์เสนอขายที่ดินที่เช่าและจำเลยกำลังเจรจาเรื่องราคานั้น โจทก์กลับนำไปขายให้นางสุนีย์เสีย การบอกเลิกสัญญาจึงไม่ชอบ สัญญาเช่ายังไม่ระงับ และแม้สัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยอยู่ต่อไปโดยโจทก์ไม่ทักท้วง ย่อมถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงเช่ากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา และเงื่อนไขในสัญญาเดิมย่อมตกติดไปกับการเช่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงและบิดเบือนเป็นข้อกฎหมาย คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองพันบาท และเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share