แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเชื่อว่าร้านค้าเป็นของลูกหนี้ จึงยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ในร้าน เป็นการใช้สิทธิทางศาลโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเจ้าหนี้ไม่สุจริตจงใจให้โจทก์เสียหาย ไม่เป็นละเมิด
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในชั้นฎีกามีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ หากว่าเป็นการละเมิด โจทก์เสียหายเท่าใด
ปรากฏว่า อาคารหลังที่เป็นที่ตั้งของร้านเจริญพาณิชย์นั้น เดิมเป็นร้านค้าชื่อร้านรวมสินไทย นางลิ้ม น้าสี ซึ่งเป็นภริยาของนายเหม็ง แซ่ลิ้ม จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 5556/2514 ของศาลแพ่ง กับบุตรของนายเหม็ง นางลิ้ม ทำการค้าขายเครื่องกระป๋อง ขนม และบุหรี่อยู่ ต่อมาหลังจากถูกบริษัทดีทแฮล์ม จำกัด นำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ในร้านค้านั้นแล้ว มีการเปลี่ยนชื่อร้านค้าเป็นร้านเจริญพาณิชย์ แล้วนางลิ้มและบุตรก็ยังค้าขายสินค้าอย่างเดียวกับร้านรวมสินไทยอยู่ในร้านเจริญพาณิชย์ในวันที่จำเลยนำเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์รายพิพาทนั้น นางลิ้มกับนางสาวประคองก็อยู่ในร้านเจริญพาณิชย์ จำเลยสืบว่าบุตรของนายเหม็งนางลิ้มได้พูดกับจำเลยขอผ่อนชำระหนี้แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน ความข้อนี้มีเอกสารที่โจทก์อ้าง คือคำเบิกความของนายบัว คงสมบูรณ์เจ้าพนักงานยึดทรัพย์ ซึ่งไปยึดทรัพย์รายพิพาทได้เบิกความในคดีก่อนว่าโจทก์ (ในคดีนั้นคือจำเลยในคดีนี้) กับลูก ๆ ของจำเลย (ในคดีนั้นคือนายเหม็ง) พูดกันเกี่ยวกับจะชำระหนี้รายนี้ ดังนี้เอกสารที่โจทก์อ้างมาเองก็เจือสมกับทางนำสืบของจำเลย พฤติการณ์เหล่านี้ ศาลฎีกาเห็นว่าทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตได้ว่า ร้านเจริญพาณิชย์เป็นร้านค้าของนายเหม็งลูกหนี้ตามพิพากษาในคดีก่อน จำเลยจึงยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ในร้านเจริญพาณิชย์ ส่วนใบทะเบียนพาณิชย์ที่โจทก์สืบว่า นางสาวประคองพยานโจทก์ได้นำมาแสดงเพื่อให้ระงับการยึดทรัพย์นั้น ก็ไม่เป็นเอกสารที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกิจการร้านเจริญพาณิชย์ การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์นั้นเป็นการกระทำโดยใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย ทั้งโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริตจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ดังฟ้อง”
พิพากษายืน